วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

กลวิธีการสอน

เป็นบทความเรื่องแรกของครูกัญญา

     เนื่องจากได้รับการคัดเลือกจากสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.)  ให้เป็นครูพี่เลี้ยงวิชาการตามโครงการพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ผู้สอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์   ช่วงชั้นที่ 3  จึงมีโอกาสได้เข้ารับการประชุมปฏิบัติการอบรมครูแกนนำวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์  วันที่  29 เมษายน   2 พฤษภาคม  2552   ณโรงแรมแอมบาสเดอร์ เห็นว่าความรู้     ที่ได้รับจากการอบรมมีประโยชน์ต่อการนำมาพัฒนาผู้เรียน จึงได้นำบางส่วนของการได้รับการอบรมมาถ่ายทอดเพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนครู
                                                                             กัญญา    ชัยรัตน์
กลวิธีการสอน
( Teaching  Strategies )
ในการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แม้ว่าจะมีวิธีการและกิจกรรมที่หลากหลายและเลือกใช้วิธีสอนที่เหมาะกับเนื้อหาตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรแล้ว  ครูจำเป็นต้องมีกลวิธี
( เทคนิค + วิธีการ ) ต่าง ๆ ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อกระตุ้นความคิด การตั้งคำถาม และส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างจริงจังและทั่วถึง รวมทั้งเป็นการสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ ให้นักเรียนเกิดความตื่นเต้น กระตือรือร้น และไม่น่าเบื่อหน่ายอีกด้วย
                นักการศึกษาทั่วไปและนักการศึกษาวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิจัยคิดค้นกลวิธีการสอนไว้มากมาย  เพื่อให้ครูนำไปใช้ประกอบในกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งจะทำให้การทำกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น  อย่างไรก็ตามการจะเลือกกลวิธีใดมาใช้กับกิจกรรมการเรียนรู้ใดหรือขั้นตอนใดของกิจกรรมนั้น  ต้องพิจารณาให้เหมาะสม  ซึ่งในการออกแบบจัดกระบวนการเรียนรู้ที่จะสอดแทรกกลวิธีต่าง ๆ นั้นจะประสบความสำเร็จในการเรียนรู้หรือไม่  ควรต้องคำนึงถึงประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
§  กลวิธีอะไรที่จะทำให้การสังเกตมีความหมายและเกิดการเรียนรู้
§  กลวิธีอะไรที่จะทำให้นักเรียน ตั้งคำถามได้อย่างหลากหลายและได้จำนวนมาก
§  กลวิธีอะไรที่จะทำให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลได้ตรงตามวัตถุประสงค์และกว้างขวาง
§  กลวิธีอะไรที่จะทำให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนอย่างเท่าเทียมกัน
§  กลวิธีอะไรที่จะทำให้นักเรียนสามารถออกแบบวิธีการสำรวจตรวจสอบด้วยตนเอง
§  กลวิธีอะไรที่จะทำให้นักเรียนสนใจความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับชีวิต
การใช้กลวิธีที่หลากหลายในการจัดการเรียนรู้อย่างเหมาะสม  มีประโยชน์ต่อผู้เรียน
ดังนี้
1.             ใช้กระบวนการคิดมากขึ้นรวมทั้งได้ฝึกกระบวนการคิดระดับสูง
2.             เข้าใจสาระ  องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น
3.             มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน
4.             ได้งานที่มีคุณภาพมากขึ้น
5.             เรียนอย่างสนุกสนาน  เกิดแรงบันดาลใจในการศึกษา  ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม
กลวิธีการสอนที่เหมาะกับวิทยาศาสตร์บางกลวิธีสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน  ดังต่อไปนี้
1.             การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจ ( Cooperative  Learning )
2.             คิดเดี่ยว : คิดคู่ : แลกเปลี่ยนความคิด ( Think  Pair Share )
3.             จิ๊กซอว์ ( Jigsaw )
4.             สร้างผลสัมฤทธิ์ของทีม ( Student  Teams  Achievement  Division : STAD )
5.             วงแหวนชาวประมง ( Fisherman’s ring )
6.             การจัดระบบความคิดโดยใช้แผนผัง ( Graphic Organizer )
7.             เดินชมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ( Gallery Walk )
8.             ม้าหมุน ( Carousel )
9.             ทำนาย : สังเกต : อธิบาย ( Predict  Observe  Explain : P O E )
10.      รู้แล้ว : อยากรู้ : เรียนรู้ ( Knowledge Want to know Learning : K W L )
11.      ตั๋วออก ( Exit  ticket )
12.      การระดมความคิด ( Brainstorming )
13.      การอ่านและการเขียนอย่างมีศักยภาพ ( Active reading & Wrtiting )
14.      บทบาทสมมติ ( Role  play )
15.      สถานการณ์จำลอง ( Simulation )
16.      เกม ( game )
ขอนำเสนอตัวอย่างกลวิธีการสอนที่นำไปใช้สอนดังต่อไปนี้

กลวิธี คิดเดี่ยว : คิดคู่ : แลกเปลี่ยนความคิด
( Think – Pair – Share )

แนวคิด
                กลวิธี คิดเดี่ยว : คิดคู่ : แลกเปลี่ยนความคิดเป็นกลวิธีหนึ่งของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจ ( Cooperation  Learning ) มีวัตถุประสงค์ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการคิด  โดยให้นักเรียนฝึกกระบวนการคิดด้วยตนเอง  แล้วแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนเป็นคู่  แบ่งปันในกลุ่มของตัว และนำมาแบ่งปันให้เกิดการเรียนรู้ในกลุ่มใหญ่  โดยเริ่มจากให้นักเรียนคิดเป็นรายบุคคล  แล้วนักเรียนจับคู่กันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของกันและกัน ต่อไปอาจขยายขนาดกลุ่มโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มขึ้นทีละคู่  ตอนสุดท้ายจะต้องให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นร่วมกันทั้งห้องเรียน กลวิธีนี้ใช้เมื่อต้องการให้นักเรียนฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์  คิดสังเคราะห์  คิดอย่างมีเหตุผล  ฝึกทักษะการสื่อสารการแสดงออกและการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

วิธีการ
                กลวิธี Think – Pair – Share  ควรใช้ตอนเริ่มต้นบทเรียนเพื่อดึงความรู้เดิมของนักเรียนใช้  หลังจากนักเรียนได้ข้อมูลจากการสำรวจตรวจสอบแล้ว  ตอนวิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอข้อมูล และใช้ในตอนสรุปบทเรียน  มีขั้นตอนในการดำเนินการ  ดังนี้
1.             ให้นักเรียนแต่ละคนคิดในประเด็นที่ครูกำหนดให้  บันทึกไว้
2.             ให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนช่วยกันคิด บันทึกไว้
3.             ให้นักเรียน 2 คู่ ( 4 คน ) รวมเป็นกลุ่ม ร่วมกันคิด แบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่ม
4.             ร่วมกัน อภิปราย สรุปความคิดเห็นของทั้งชั้นเรียน
กลวิธี  ม้าหมุน ( Carousel )
แนวคิด
                กลวิธีม้าหมุนหรือ Carousel เป็นกลวิธีที่กระตุ้นให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นหรือหัวข้อที่นักเรียนแต่ละกลุ่มได้รับไป  เขียนบนกระดาษติดไว้บันผนังห้อง แล้วให้นักเรียนกลุ่มอื่น ๆ เวียนแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม  หลังจากนั้นเจ้าของกลุ่มกลับไปพิจารณาความคิดของกลุ่มและที่เพื่อนมาเพิ่มเติมเพื่ออภิปราย  สรุปความคิดเห็นของกลุ่ม และนำเสนอต่อชั้นเรียน และครูนำอภิปรายเพิ่มเติมเหมาะสำหรับการฝึกทักษะการศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ทักษะการลงความคิดเห็นจากข้อมูล  การแสดงออกและการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น
วิธีการ
                1. ครูกำหนดประเด็นคำถามที่แตกต่างกันเท่ากับจำนวนกลุ่มนักเรียน  นำไปติดบอร์ดหรือฝาผนังให้ระยะห่างกันพอสมควร
                2.  แจกปากกาสีต่างกันให้แต่ละกลุ่ม
             3. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มยืนที่ประเด็นคำถามแรกและระดมความคิดเขียนลงบนกระดาษนั้น
             4. เมื่อครูให้สัญญาณ ทุกกลุ่มเดินทิศทางตามเข็มนาฬิกาไปยังประเด็นถัดไป แล้วอ่านศึกษาข้อมูล  วิเคราะห์  อภิปรายผลงานของกลุ่มอื่นที่เขียนไว้ และทำเครื่องหมายถูกในหัวข้อแนวความคิดที่กลุ่มเห็นด้วย รวมทั้งเพิ่มเติมข้อคิดเห็นและประเด็นต่าง ๆ จนครบทุกกลุ่ม
             5.  ตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลการระดมความคิดประเด็นสุดท้ายที่กลุ่มศึกษา
                6. ทุกคนร่วมอภิปรายและสรุปแต่ละประเด็นโดยครูเป็นผู้นำการอภิปรายและใช้คำถามให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน และสรุปผลการอภิปรายของทั้งห้อง
กลวิธี  วงแหวนชาวประมง ( Fisherman’s Ring )
แนวคิด
                กลวิธีวงแหวนชาวประมงเป็นกลวิธีฝึกให้นักเรียนพูดสื่อสารและแสดงความคิดเห็นอย่างทั่วถึง  ในประเด็นปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสังคม  โดยผลัดเปลี่ยนกันในวงเพื่อพูดข้อดีและข้อเสียของประเด็นนั้น
วิธีการ
                ครูเลือกประเด็นปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่กำลังเป็นที่สนใจของประชาชน ให้ข้อมูลทั้งข้อดีและข้อเสีย  หรืออาจกำหนดประเด็นให้นักเรียนสืบค้นข้อมูล  ให้นักเรียนศึกษาข้อมูล และใช้กิจกรรมวงแหวนชาวประมงเป็นสื่อในการทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้  ฝึกกระบวนการคิดและสื่อสารความรู้ไปยังผู้อื่น มีขั้นตอนดำเนินการดังนี้
                1. กำหนดประเด็นที่จะศึกษา   ควรเป็นประเด็นวิทยาศาสตร์ที่มีความขัดแย้งกันในสังคมขณะนั้น  และกำลังอยู่ในความสนใจของนักเรียนหรือประชาชน
                2. เตรียมใบกิจกรรม  ซึ่งควรประกอบด้วยหัวเรื่องต่อไปนี้
§  ชื่อเรื่อง
§  จุดประสงค์
§  วิธีดำเนินกิจกรรม
§  ใบความรู้  ซึ่งเน้นมุมมองทั้ง 2 ด้าน  ทั้งด้านดีและด้านเสีย
3. เตรียมวิธีการประเมินผล
4. เตรียมสถานที่จัดกิจกรรม โดยจัดหาสถานที่ที่เป็นห้องโล่งหรือลานกว้างพอสำหรับจัด
นักเรียนยืนเป็นวงกลม 2 วง และเคลื่อนไหวได้สะดวก
                5. เริ่มทำกิจกรรมโดยแจกใบกิจกรรมให้นักเรียนทุกคนศึกษา
                6. จัดกิจกรรมวงแหวนชาวประมงเพื่อให้นักเรียนสะท้อนข้อดีและข้อเสียของประเด็นที่ศึกษา โดยดำเนินการดังนี้
                     6.1 ครูชี้แจงขั้นตอนการทำกิจกรรม
                     6.2 ครูให้นักเรียนยืนเป็น 2 วง ให้เท่ากัน  วงละไม่ควรเกิน 10 คน และแต่ละคู่หันหน้าเข้าหากัน  ครูส่งสัญญาณให้นักเรียนผลัดเปลี่ยนคู่กันสะท้อนข้อดีและข้อเสีย  โดยการเปลี่ยนคู่อาจให้นักเรียนเดินสวนทางกันไปหาคู่ใหม่
                7. ร่วมกันอภิปรายทั้งชั้นเพื่อสรุปเป็นความคิดของห้อง

กลวิธี ทำนาย : สังเกต : อธิบาย ( Predict  Observe  Explain : P O E )
แนวคิด
                         กลวิธี ทำนาย : สังเกต : อธิบาย หรือ POE มาจากคำเต็ม Predict  Observe  Explain เป็นกลวิธีที่ให้นักเรียนเรียนรู้จากการทำนาย ( Predict ) การสังเกต ( Observe ) และการอธิบาย ( Explain ) ใช้เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนสนใจ  มุ่งมั่นในการทดลองโดยให้นักเรียนทำนายผลที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าก่อนลงมือทำกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนสังเกตอย่างจดจ่อ  ละเอียด รอบคอบ นำผลที่ได้จากการสังเกตมาอธิบายและเปรียบเทียบกับสิ่งที่ทำนายไว้  นักเรียนจะรู้สึกสนุกสนานและในช่วงที่ทำกิจกรรมหรือทำการทดลองแล้วท้าทายในการค้นหาความรู้เพื่อตรวจสอบผลการทำนายของตนเอง
          วิธีการ

                มี 3 ขั้นตอน คือ
                1. ขั้นทำนาย ( Predict ) ครูใช้คำถามกระตุ้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม / คนทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นจากการสาธิตการทดลองหรือปัญหาที่กำหนด
                2. ขั้นสังเกต ( Observe ) ครูให้นักเรียนทำการทดลอง สังเกต บันทึกผล เพื่อศึกษาว่าผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร และเป็นไปตามที่ทำนายไว้หรือไม่
                3. ขั้นอธิบาย ( Explain ) ให้นักเรียนอธิบายผลที่เกิดจริง ซึ่งผลเกิดขึ้นจริงอาจตรงกับที่ทำนายไว้ทั้งหมด หรือบางส่วน ครูให้นักเรียนวิเคราะห์หาสาเหตุ และสรุป

กลวิธี รู้แล้ว :อยากรู้ : เรียนรู้ ( Knowledge Want to know Learning : KWL )

แนวคิด
       กลวิธี รู้แล้ว :อยากรู้ : เรียนรู้ หรือ K W L  เป็นกลวิธีการเรียนรู้สิ่งใหม่จากการเชื่อมโยงจากสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้แล้ว หรือพื้นความรู้เดิมกับสิ่งที่ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม และให้นักเรียนอธิบายความรู้ใหม่ หรือ สิ่งที่ได้จากการเรียนรู้แต่ละตัวอักษรของ K W L  มาจากความหมายดังนี้
                    K: What  we know
               W: What we want to know
               L: What we learned
     กลวิธี K W L  ใช้เพื่อดึงความรู้เดิมของนักเรียนและสิ่งที่นักเรียนอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เรียน จะทำให้รู้ว่านักเรียนรู้อะไรมาบ้างและมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอะไรบ้าง และจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สนองความต้องการของนักเรียนมากที่สุด  ทั้งนี้เรื่องที่นักเรียนอยากรู้อาจจะจัดให้ไม่ได้ทันทีแต่อาจจัดการเรียนรู้โดยวิธีอื่นหลังจากนั้น

การนำไปใช้

1.    เมื่อเริ่มการเรียนการสอนเรื่องใด เรื่องหนึ่ง ให้นักเรียนแต่ละคนเขียนในสิ่งที่เรียนรู้แล้วในเรื่องนั้นลงในกระดาษ  นำไปติดบริเวณที่กำหนด
2.    นักเรียนเขียนสิ่งที่อยากรู้ลงในกระดาษอีกแผ่น  ว่ามีอะไรบ้างที่อยากเรียนเกี่ยวกับเรื่องที่ครูจะสอน แล้วนำไปติดบริเวณที่กำหนด
3.    ครูให้นักเรียนทำกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และความต้องการของนักเรียน โดยครูต้องเชื่อมโยงกิจกรรมที่เตรียมไว้กับสิ่งที่นักเรียนอยากรู้มากที่สุด
4.    หลังจากจบบทเรียน ให้ทุกคนเขียนว่าได้เรียนรู้อะไรลงในกระดาษและตรวจสอบกับความรู้เดิมว่านักเรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้น รู้อะไรคลาดเคลื่อน มีอะไรที่ครูยังไม่จัดให้
5.    ครูให้นักเรียนทำกิจกรรมเพิ่มเติมในประเด็นที่นักเรียนยังไม่ได้เรียนรู้ เช่น สืบค้นข้อมูล ทำโครงงานวิทยาศาสตร์
กลวิธี  การจัดระบบความคิดโดยใช้แผนผัง  ( Graphic  Organizer )

แนวคิด
                กลวิธีการจัดระบบความคิดโดยใช้แผนผังหรือ Graphic  Organizer  ใช้เพื่อประเมินความเข้าใจ  ความถูกต้องของเนื้อหาสาระจากการเรียนรู้  ช่วยฝึกและเพื่อพัฒนากระบวนการคิด 
มีหลากหลายรูปแบบ เช่น แผนผังความคิดหลัก ( Concept map )  แผนผังเวนน์ ( Vann  diagram ) แผนผังก้างปลา  ( fish  bone ) และแผนผังความคิด ( Mind  map ) เป็นต้น  แต่ละรูปแบบของการจัดระบบความคิดจะมีลักษณะเฉพาะ  ดังตัวอย่าง เช่น
                                         
                                              แผนผังความคิดหลัก  ( Concept  Map )

                กลวิธี  แผนผังความคิดหลัก หรือ Concept  Map เป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบความคิดหลักของนักเรียนก่อนเรียนหรือประเมินนักเรียนที่หลังจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ แล้ว  นักเรียนได้เรียนรู้อะไรบ้าง  เข้าใจเนื้อหาถูกต้องหรือไม่  เป็นแผนภาพที่เขียนแสดงการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างความคิดหลักหรือมโนทัศน์ ( Concept ) ต่าง ๆ โดยใช้คำเชื่อมอย่างมีลำดับและเป็นระบบเริ่มจากความคิดหลักที่กว้างไป  แคบไปหรือเฉพาะเจาะจงทำให้เห็นความสัมพันธ์ต่าง ๆ อย่างครอบคลุม  เข้าใจเนื้อหาดีขึ้น  ให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย  ถูกต้อง และครอบคลุม  เป็นการฝึกคิดวิเคราะห์  สังเคราะห์ และสร้างสรรค์
วิธีการ
1.             กำหนดเรื่องหรือหัวเรื่องที่จะจัดกิจกรรม
2.             ให้นักเรียนทำกิจกรรมก่อนเขียนแผนผังความคิดหลักหรือหลังจากทำกิจกรรม แต่ละ
กลุ่มระดมความคิด และสรุปผลกิจกรรมโดยเขียนแผนผังความคิดหลัก  ซึ่งครูควรทบทวนหรืออธิบายวิธีการเขียนแผนผังความคิดหลักก่อนให้นักเรียนเขียน
3.             แต่ละกลุ่มนำเสนอแผนผังความคิดหลัก
4.             ร่วมกันอภิปราย และสรุปแผนผังความคิดหลัก
แผนผังเวนน์ ( Venn  Diagram )
                เป็นกลวิธีที่ฝึกการคิดวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบของ 2 สิ่งหรือมากกว่าว่ามีอะไร  ที่เหมือนกัน และมีอะไรที่แตกต่างกัน  โดยเขียนลงในแผนผังเวนน์  ซึ่งประกอบด้วยวงกลมจำนวนเท่ากับสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบเขียนซ้อนทับกันบางส่วน ส่วนที่ซ้อนทับเขียนแสดงลักษณะที่เหมือนกัน บริเวณนอกเหนือส่วนที่ซ้อนกันอยู่เขียนแสดงลักษณะที่แตกต่างกัน
            วิธีการ
1.             ครูกำหนดเรื่อง / หัวข้อทำกิจกรรมที่สามารถแยกความแตกต่างออกจากกันได้
2.             ครูจัดทำใบความรู้หรือใบกิจกรรมหรือแหล่งเรียนรู้ในหัวข้อที่กำหนด เพื่อเป็นข้อมูล
สำหรับการเขียนแผนผังเวนน์
3.             นักเรียนแต่ละคนศึกษาหรือสืบค้นข้อมูล
4.             นักเรียนวิเคราะห์สิ่งที่เหมือนกันและสิ่งที่แตกต่างกันเขียนลงในแผนผังเวนน์
5.             ครูสุ่มนักเรียนนำเสนอแผนผังเวนน์
6.             ครูนำอภิปรายทั้งชั้นเรียนเพื่อสรุปแผนผังเวนน์ที่ถูกต้อง
หมายเหตุ : แผนผังเวนน์อาจแสดงแผนภาพด้วยวงกลมมากกว่า 2 วงซ้อนกันหรือวงกลม
เล็กซ้อนอยู่ในวงกลมใหญ่ก็ได้
                                                                  แผนผังความคิด ( Mind  map )
                คือการถ่ายทอดความคิด หรือข้อมูลต่าง ๆลงในกระดาษ โดยการใช้ภาพสี เส้น และการโยงใย แทนการจดย่อแบบเดิมที่เป็นบรรทัด ๆเรียงจากบนลงล่าง  ใช้แสดงการเชื่อมโยงข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งระหว่างความคิดหลัก ความคิดรอง และความคิดย่อยที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน
กลวิธี ตั๋วออก(Exit Ticket)

แนวคิด
              กลวิธีตั๋วออกหรือ  Exit Ticket เป็นกลวิธีที่ให้นักเรียนทำกิจกรรมก่อนออกจากห้องเรียน  โดยหลังจากจบบทเรียนแต่ละครั้ง อาจให้นักเรียนทำงาน เช่น แบบฝึก รายงานการทดลอง  เขียนอนุทิน เพื่อบอกถึงสิ่งที่เข้าใจ และสิ่งที่ได้รับจากการเรียนรู้ ( Got ) และให้นักเรียนเขียนในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ ( ) ครูจะต้องนำงานของนักเรียนมาวิเคราะห์เพื่อทราบว่านักเรียนเข้าใจสิ่งที่ครูสอนแค่ไหน ยังไม่เข้าใจอะไร และอยากรู้อะไรเพิ่มเติม และให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียนในการเรียนการสอนครั้งต่อไป
วิธีการ
            กลวิธีนี้ใช้ตอนท้ายชั่วโมงของการสอนซึ่งจะช่วยประเมินผลการเรียนการสอนของครู  และฝึกให้นักเรียนสรุปความรู้ โดย ให้นักเรียนแต่ละคนเขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจในบทเรียนวันนี้และเขียนสิ่งที่อยากรู้ลงในกระดาษ  มีอะไรบ้างที่อยากเรียน  โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้
1.    ให้นักเรียนเขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้และเข้าใจในบทเรียน ซึ่งอาจเขียนได้ในหลายรูปแบบ เช่น อนุทิน  แผนผังความคิด  แผนภาพ  ความเรียงลงในบัตร หรือ กระดาษสี
2.    เขียนสิ่งที่อยากรู้ลงในกระดาษ มีอะไรบ้างที่อยากเรียนลงในบัตร หรือกระดาษสี
3.    นำสิ่งที่เขียนไปติดไว้ที่บอร์ด
กลวิธี เกม (Game)

แนวคิด
          เกมเป็นกลวีธีที่เหมาะสำหรับเสริมการเรียนวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เนื่องจากทำให้นักเรียนได้รับความสนุกสนานและได้เรียนรู้ในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย นอกจากนั้นไม่ว่านักเรียนจะเรียนเก่ง หรือเรียนอ่อนต่างก็ชอบการเล่นเกมด้วยกันทั้งสิ้น จึงช่วยแก้ปัญหาการขาดความเอาใจใส่ในการเรียนได้อีกทางหนึ่งด้วย
          เกมที่นำมาประยุกต์ในการเรียนการสอน  ควรเป็นเกมที่นักเรียนคุ้นเคย รู้กติกาค่อนข้างดี  วิธีการเล่นไม่ซับซ้อน และผลิตง่าย เกมมีหลายประเภท เช่น   
1.    โดมิโน ( Dominoes)
2.    เกมบัตร( Card Game)
3.    เกมกระดาน ( Board Game)
4.    เกมปริศนาคำ (Puzzles)
5.    เกมทายปัญหา (Quizzes)

โดมิโน

         เป็นเกมที่เล่นโดยนำชิ้นส่วนสี่เหลี่ยมซึ่งเรียกว่าแผ่นโดมิโนมาต่อเข้าคู่กันตามกติกาที่กำหนดเช่นประเภทของสัตว์ ชื่อสัตว์  อาณาจักรพืช ชื่อพืช  จำนวนตัวเลขที่บวกกันแล้วเท่ากับสิบเป็นต้น  เกมโดมิโนเหมาะสำหรับการจัดจำแนกประเภท ที่เกี่ยวข้องกันไม่เกิน 3  กลุ่ม เช่นประเภทธาตุ สัญลักษณ์ธาตุ ชื่อธาตุ เมื่อต่อแผ่นโดมิโนได้ถูกต้อง ผู้เล่นจะได้คะแนนเท่ากับจำนวนจุดที่อยู่บนแผ่นโดมิโน ครูสามารถกำหนดกติกา การคิดคะแนน เช่น ถ้าแผ่นโดมิโนที่ต่อกันถูกต้องและมีจำนวนจุดของคะแนนเท่ากัน ผู้เล่นจะได้คะแนน 2 หรือ 3 เท่า ของผลรวมของจำนวนจุด

เกมบัตร

        เป็นเกมที่เล่นโดยใช้บัตร อาจเป็นการจับคู่บัตร หรือจัดบัตรเข้าพวก ตามกติกาที่กำหนด บางเกมอาจใช้กติกาของการเล่นรัมมี่ หรือการเล่น ผสมสิบ  เกมบัตรเหมาะสำหรับการจัดกลุ่ม   จัดประเภทของสิ่งที่แสดงบนบัตร

เกมกระดาน

        เป็นเกมที่ผู้เล่นเดินตัวหมากไปตามช่องบนกระดาน จำนวนช่องที่เดินเท่ากับจำนวนเต็มที่ได้จากการทอดลูกเต๋า เช่นเกมบันได้งู เกมเศรษฐี เกมไต่บันได ในช่องที่เดินควรใส่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้ผู้ที่เดินไปถึงช่องนั้นอ่านให้เพื่อฟัง หรือใส่สิ่งที่ผู้เล่นจะต้องปฏิบัติ เช่นให้หยิบบัตรคำถาม ถ้าตอบคำถามได้จึงจะได้เล่นต่อไปเป็นต้น

เกมปริศนาคำ

         เป็นเกมที่ทายคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ มีหลายลักษณะเช่นเกมอักษรไขว้( Crossword )
อักษรสลับ ( Anagrams )  เกมค้นหาคำ ( Wordsearches ) เหมาะสำหรับใช้เรียนรู้ หรือทบทวนความหมาย หรือ มโนทัศน์ของคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์

เกมทายปัญหา

       เป็นเกมที่ใช้ทายปัญหาทางวิทยาศาสตร์ รูปแบบของเกมมีหลายแบบ อาจใช้รูปแบบของเกมทางทีวีซึ่งเป็นที่นิยม แล้วใช้คำถามที่เกี่ยวข้องเนื้อหาสาระทางวิทยาศาสตร์ เช่นเกม 20คำถาม

       เกมเหล่านี้ครูสามารถผลิตเองได้ง่าย โดยใช้วัสดุประเภท กระดาษ ดินสอสี ปากกาสี  หรือออกแบบในคอมพิวเตอร์และพิมพ์ออกมาให้มีสีสันสวยงาม ก็จะทำให้เกมมีรูปลักษณ์ที่น่าสนใจ 
แต่ถ้าโรงเรียนมีความพร้อมทางด้านคอมพิวเตอร์ ก็สามารถใช้เกมคอมพิวเตอร์ซึ่งอาจผลิตขึ้นเอง หรืออาจจัดซื้อจากที่มีผู้จำหน่ายมาใช้ในการเรียนการสอน

กลวิธี  เดินชมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
( Gallery  Walk )
แนวคิด
                กลวิธีเดินชมแลกเปลี่ยนเรียนรู้หรือ Gallery  Walk เป็นกลวิธีที่ให้ผู้เรียนนำเสนอผลงานของกลุ่มในการศึกษาเรื่องเดียวกัน  ภายหลังจบบทเรียน  ให้กลุ่มอื่นมาชมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงาน แสดงความคิดเห็น อภิปรายภายในกลุ่ม โดยเขียนเครื่องหมาย / หน้าข้อความที่มีความเห็นเหมือนกัน และเขียนความคิดเห็นที่แตกต่างกัน  ถ้าไม่แน่ใจในประเด็นที่เพื่อนนำเสนอให้ใส่เครื่องหมายคำถามไว้  กลวิธีนี้ใช้เมื่อต้องการให้นักเรียนนำเสนอผลงาน  โดยทุกคนมีส่วนร่วม  กลวิธีนี้ช่วยฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์  การตั้งคำถาม  การตอบคำถาม  การสื่อสารและการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น

วิธีการ
1.             แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 3 4 คน
2.             ให้นักเรียนร่วมกันทำกิจกรรม  อภิปราย และสรุปความคิดเห็นของกลุ่ม  เขียนลงใน
กระดาษโปสเตอร์แล้วนำไปติดไว้ที่ผนัง  ระยะห่างกันพอสมควร
3.             แจกปากกาสีให้แต่ละกลุ่มอธิบายวิธีการเดินชมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานของกลุ่มอื่น
4.             ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มยืนตรงโปสเตอร์ของตนเอง
5.             ให้สัญญาณให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเดินไปหยุดที่โปสเตอร์ของกลุ่มถัดไป  ศึกษาผลงาน
อภิปราย และสรุปความคิดเห็น  ถ้าเห็นด้วยในประเด็นใดให้เขียนเครื่องหมาย / หน้าประเด็นนั้น ถ้าไม่เห็นด้วยในประเด็นใดให้เขียนความคิดเห็นของตนเองลงไป  ถ้าไม่แน่ใจในประเด็นใดให้เขียนเครื่องหมายคำถาม
6.             ให้นักเรียนทำกิจกรรมเช่นเดิมจนครบทุกโปสเตอร์ หรือ 2 3 โปสเตอร์ตามเวลาที่มี
7.             นำอภิปรายทั้งชั้น โดยครู เพื่อสรุปความคิดเห็นของห้อง


รวมลิงค์บทความเกี่ยวกับเทคนิคการสอน

3 ความคิดเห็น:

  1. คุณครูคะ มีหนังสือเกี่ยวกับกลวิธีการสอนไหมคะ ช่วยแนะนำชื่อหนังสือหน่อยค่ะ หนูสนใจเรื่องกลวิธีการสอน ขอบพระคุณล่วงหน้าค่ะ

    ตอบลบ
  2. อยากสอบเรื่องกลวิธีการสอน พอดีจะนำมาใช้ในการสอนเด็กพอมีหนังสือที่แนะนำไหมค่ะ

    ตอบลบ