จมูกกับการดมกลิ่น
จมูกกับการดมกลิ่น
จมูก เป็นอวัยวะรับความรู้สึกเกี่ยวกับกลิ่นในรูปของแก๊ส ( olfactory receptor ) ใน จมูก
มีหน่วยรับความรู้สึกต่อสิ่งเร้าที่เป็นประเภทสารเคมี( Chemoreceptor) เช่นเดียวกับเซลล์รับรสของลิ้น
การรับกลิ่นอาศัยเยื่อรับกลิ่น ( Olfactory epithelium ) ภายในจมูก การรับรสอาหารส่วนใหญ่
อาศัยกลิ่นประกอบด้วย สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมบางพวกจะมีจมูกไวต่อการรับกลิ่นมากเช่นพวกสัตว์มีกีบ สัตว์ฟันแทะและสัตว์กินเนื้อ สัตว์เหล่านี้จะมีจมูกอ่อนยาวมากและมีเยื่อรับกลิ่นยึดติดโดยตลอด การที่มีเซลล์รับกลิ่นมากทำให้สามารถรับกลิ่นได้ดี
จมูกของคนแบ่งออกเป็น 3 บริเวณดังนี้
1. ส่วนแรกของลมหายใจเข้า ( Vestibular region ) ได้แก่รูจมูก และโพรงจมูกส่วนนอก
เป็นส่วนแรกของจมูก เป็นทางผ่าน ของลมหายใจเข้า มีขนจมูกและต่อมน้ำมันอยู่ทั่วไปภายใต้กระดูกอ่อน
ซึ่งเป็นส่วนปลายของจมูก
2. ส่วนหายใจ ( Respiratory region ) เป็นบริเวณที่เกี่ยวกับทางเดินของลมหายใจ
เป็นส่วนที่ยาวที่สุด อยู่ลึกจากบริเวณทางเข้ามีเยื่อบุผิวหลายชนิด บางชนิดเป็นเยื่อบุผิวที่มีเซิเลีย
( ciliated epithelium ) ซึ่งมีสีชมพู ภายในมีต่อมเมือกและเส้นเลือดฝอยมาเลี้ยงอยู่มากมาย
3. ส่วนดมกลิ่น ( Olfactory region ) หรือบริเวณรับกลิ่น เป็นบริเวณที่มีการดมกลิ่นอยู่ที่
ส่วนบนและด้านหลังของจมูกทั้งซ้ายและขวา ในจมูกแต่ละข้างมีพื้นที่ประมาณ 2.5 ตารางเซนติเมตร
บริเวณรับกลิ่นด้านบนจะมีเยื่อบุเรียกว่า ออลแฟคทอรี เอปีทีเลียม ( Olfactory epithelium )
เยื่อนี้มีสีเหลือง ที่เยื่อนี้จะมีตัว เซลล์ประสาทรับกลิ่น ( Olfactory receptor หรือ Olfactory cell ) ฝังอยู่ประมาณ 60 ล้านเซลล์ เซลล์รับกลิ่นนี้เป็นเซลล์ประสาทชนิดสองขั้ว แต่ละเซลล์มีเดนไดร์ตประมาณ 6 – 12 อัน การที่มีเดนไดร์ตหลายอันทำให้มองเห็นเป็นเส้น ๆ จึงเรียก เดนไดร์ตนี้ ว่า แฮร์( Hair )
หรือซีเลีย ( Cilia ) ซึ่งจะกระตุ้นแล้วส่งกระแสประสาทไปตามเส้นประสาทสมองคู่ที่ 1 หรือเรียกว่า
ออลแฟคทอรีแทรค ( Olfactory tract ) ไปยังสมองส่วนออลแฟคทอรีบัลบ์ บริเวณจมูกส่วนนี้เต็มไปด้วยเยื่อเมือก และเซลล์หลายชนิด นอกจากนี้ช่องจมูกยังติดต่อกับคอหอยได้โดยมีรูเล็ก ๆ ทำให้
ได้กลิ่นอาหารด้วย
คุณสมบัติของตัวกระตุ้นที่จะทำให้รับกลิ่นได้ดี
1. ต้องระเหยได้ สามารถระเหยเข้ารูจมูกได้
2. ละลายน้ำได้เล็กน้อยเพื่อให้ละลายผ่านเยื่อเมือกเข้าสู่เซลล์รับกลิ่นได้
3. ละลายในไขมันได้ เพราะบริเวณ ออลแฟคทอรี แฮร์ และปลายเซลล์รับกลิ่นประกอบด้วยไขมัน
ในขณะที่เป็นหวัดจะรู้สึกคัดจมูก จมูกจะตันและเยื่อจมูกจะบวม ความสามารถในการรับกลิ่นจะหายไป แต่ละคนมีความไวต่อกลิ่นไม่เหมือนกัน ผู้หญิงจมูกจะไวต่อการรับกลิ่นได้ดีกว่าผู้ชาย
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
อวัยวะรับความรู้สึกนัยน์ตากับการมองเห็น
นัยน์ตาและการมองเห็น
อวัยวะรับความรู้สึก (receptor) ในสัตว์ชั้นต่ำไม่สลับซับซ้อนเหมือนกับของสัตว์ชั้นสูงซึ่งมีส่วนประกอบที่ซับซ้อนและยังมีโครงสร้างที่ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายได้ด้วย เช่นหู ,ลูกนัยน์ตา
อวัยวะที่ใช้รับสัมผัสของสัตว์ชั้นสูงเหมาะสำหรับใช้เพื่อการอยู่รอด โดยอวัยวะเหล่านี้ใช้เพื่อหาอาหาร , ใช้ป้องกันตัว ใช้เพื่อหนีศัตรู ดังนั้นเพื่อการอยู่รอด จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงจนกระทั่งอวัยวะเหล่านั้นใช้การได้ดี และเหมาะสม เพื่อสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อม เช่น ความดัน อุณหภูมิ แสงสว่าง
อวัยวะรับความรู้สึกแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
1.อวัยวะรับความรู้สึกพิเศษ ( Special sense organ ) ได้แก่อวัยวะรับความรู้สึกจากสารเคมี คือจมูก และลิ้น อวัยวะรับเสียงคือ หู และอวัยวะรับภาพคือตา
2. อวัยวะรับความรู้สึกทั่วไป ( General sense organ ) ได้แก่อวัยวะรับความรู้สึกทางผิวหนัง
ตาเป็นอวัยวะรับแสง ( photoreceptor) มีในสิ่งมีชีวิตตั้งแต่พวกโพรติสท์ จนถึงสัตว์มีกระดูกสันหลัง
สามารถตอบสนองต่อแสงสว่างได้ แต่มีบางชนิดเท่านั้นที่รับภาพได้ นัยน์ตาของสัตว์ชั้นสูงบางพวกรับภาพได้เพราะมีทั้งเลนส์และเรตินาสำหรับรับภาพ เช่นในแมลงจะเป็นตาประกอบ ส่วนในปลาหมึกจะมีเลนส์เป็นก้อนกลม .
นัยน์ตามนุษย์มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับกล้องถ่ายรูปโดยมีส่วนต่างๆเหมือนกันคือ เลนส์ทำหน้าที่รับแสง หากแสงเข้ามากไป ตาจะปรับม่านตา ( iris ) ให้ปล่อยแสงผ่านรูม่านตา ( pupil ) ให้น้อยลงเหมือนไดอะแฟรมของกล้องถ่ายรูป การที่จะให้ภาพตกลงบนเรตินาพอดี ตาจะเปลี่ยนรูปร่างของเลนส์ แต่กล้องถ่ายรูปจะเลื่อนระยะระหว่างเลนส์กับฟิล์ม ตัวกล้องถ่ายรูปทำหน้าที่เหมือนห้องมืดเหมือนกับในดวงตา
นัยน์ตาประกอบด้วยลูกตา (eye ball ) อยู่ภายในกระบอกตา มีกล้ามเนื้อลายควบคุมการเคลื่อนไหว 6 มัด ทำให้สามารถกรอกลูกตาไปมาได้มีส่วนประกอบที่ช่วยป้องกันอันตรายให้แก่ลูกนัยน์ตา เช่น คิ้ว และขนตาช่วยป้องกันฝุ่นละออง หนังตาบนและล่าง ป้องกันอันตรายแก่ลูกนัยน์ตา ต่อมน้ำตา (lacrimal gland ) ซึ่งอยู้บริเวณหางตาสร้างน้ำตามาหล่อเลี้ยงแก้วตาให้ชุ่มชื่น และรักษาแก้วตาให้สะอาดอยู่เสมอ น้ำตามีน้ำมันสำหรับเคลือบลูกนัยน์ตาและยังมีเอนไซม์ช่วยทำลายจุลินทรีย์ น้ำตาจะถูกระบายทิ้งออกไปทางท่อ บริเวณหัวตานำน้ำตาไประบายออกทางโพรงจมูกและส่งต่อไปบริเวณคอหอย
ลูกตาด้านข้างถ้าผ่าออกดูจะพบว่าประกอบด้วยเยื่อ เรียงตัว 3 ชั้นคือ
1. ชั้นสเคลอรา (sclera )
2. ชั้นคอรอยด์ (choroid )
3. ชั้นเรตินา (retina )
เยื่อชั้นสเคลอรา ( sclera ) เป็นเยื่อชั้นนอกสุดประกอบไปด้วยเยื่อที่มีลักษณะเหนียวและหนาไม่ยืดหยุ่นส่วนใหญ่มีสีขาวได้แก่ส่วนที่เป็นตาขาว สเคลอราส่วนที่อยู่ด้านในมีช่องทางเข้าของเส้นประสาทและเส้นเลือด เยื่อชั้นสเคลอราทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้แก่ลูกนัยน์ตายกเว้นบางส่วนที่มีลักษณะเป็นแผ่นใสคลุมส่วนของตาดำมีขนาดเพียง 1 ใน 6 ของลูกตาทั้งหมด ส่วนนี้เรียกว่า คอร์เนีย (cornea) หรือกระจกตา ส่วนนี้จะมีความชุ่มชื้นหล่อลื่นอยู่เสมอและให้แสงผ่านเข้าไปด้านในของตาได้ กระจกตามีความสำคัญมากถ้าพิการสามารถเปลี่ยนกระจกตาได้โดยนำของคนที่ตายใหม่ๆมาเปลี่ยนกันได้ สเคลอราส่วนที่อยู่ด้านในเป็นทางเข้าของเส้นประสาทและหลอดเลือด ด้านหลังของสเคลอรามีกล้ามเนื้อลายมายึด 6 มัดกล้ามเนื้อเหล่านี้ถูกควบคุมด้วยเส้นประสาทสมองคู่ที่ 3,4 และ 6 มีผลทำให้นัยน์ตาสามารถเคลื่อนไหวหรือกลอกตาไปมาได้
เยื่อชั้นคอรอยด์ ( choroid ) เป็นเยื่อชั้นที่อยู่กลางมีลักษณะเป็นเยื่อบางๆเส้นเลือดฝอยมาหล่อเลี้ยง โดยผ่านเข้ามาทางด้านหลังของสเคลอราเพื่อนำอาหารมาเลี้ยงยังด้านในของตา ผนังชั้นนี้ส่วนที่อยู่ติดกับเรตินามีรงควัตถุสะสมอยู่มาก ทำหน้าที่เป็นฉากกั้นแสงที่ผ่านกระจกตาเข้ามาไม่ให้ผ่านไปถึงคอรอยด์ด้านในลักษณะเช่นนี้ส่งผลให้เซลล์รับแสงในชั้นเรตินาสามารถรับแสงได้อย่างเต็มที่ ทางส่วนด้านหน้ามีส่วนหนาเป็นกล้ามเนื้อเรียบ เรียกว่า ซิลิอารี บอดี ( ciliary body ) มีหน้าที่ปรับความโค้งของเลนส์ให้สามารถรับภาพเมื่อรับภาพในระยะต่างๆได้อย่างเหมาะสม ถัดจากกล้ามเนื้อซิลิอารีออกไปทางด้านใกล้กับคอร์เนียมีกล้ามเนื้อยื่นมาจากด้านบนและด้านล่างคล้ายกับเป็นผนังกั้นบางส่วนของเลนส์เรียกว่าม่านตา ( iris ) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อเรียบ ทำหน้าที่คอยควบคุมปริมาณแสงที่จะเข้าสู่ด้านในของตาให้พอเหมาะ ช่องตรงกลางระหว่างม่านตาเรียกว่ารูม่านตา (pupil ) ความกว้างของช่องนี้จะเปลี่ยนขนาดตามความเข้มของแสง ถ้าอยู่ในที่มืดรูม่านตาจะขยายใหญ่เพื่อให้แสงผ่านเข้าได้มาก แต่ถ้าอยู่ในที่มีแสงสว่างมากรูม่านตาจะหรี่เล็กลงแคบเข้า เพื่อป้องกันมิให้แสงเข้าสู่ตามากเกินไป ม่านตานี้จะมีสีของรงควัตถุเดียวกับที่พบในชั้นคอรอยด์ ม่านตาคนเอเชียจะมีเมาลานินอยู่มาก ทำให้เรามองเห็นนัยน์ตามีสีดำ ส่วนผู้ที่มีนัยน์ตาสีฟ้านั้นมีรงควัตถุพวกกวานินปนอยู่กับเมลานิน ส่วนคนเผือกเป็นคนที่ไม่มีรงควัตถุที่ม่านตา ทำให้มองเห็นหลอดเลือดได้ชัดเจนดังนั้นจึงมองเห็นม่านตามีสีแดง
เยื่อชั้นเรตินา ( retina ) เป็นเยื่อที่อยู่ชั้นในสุดของลูกตา แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
ก. ชั้นสี ( pigment layer ) ชั้นนี้มีรงควัตถุเช่นเดียวกับชั้นคอรอยด์ทำหน้าที่คอยป้องกันแสงที่ผ่านเข้ามาถึงแม้จะมีม่านตาคอยกรองแสงแต่ถ้าแสงผ่านเข้ามาจ้ารงควัตถุจะเข้าห้อมล้อมเซลล์รับแสงทั้งรูปแท่งและรูปกรวยแต่ถ้าแสงผ่านเข้าน้อยรงควัตถุจะกระจายออกไป
ข. ชั้นเส้นประสาท ( nervous layer )ชั้นนี้เป็นชั้นที่รับภาพเนื่องจากมีเซลล์รับแสง 2 ชนิด คือ
เซลล์รูปแท่ง (rod cell ) มีลักษณะเป็นรูปแท่งทรงกระบอกกระจายอยู่ทางด้านหน้าของเรตินามากกว่าทางด้านหลัง เรตินาแต่ละข้างจะมีเซลล์รูปแท่งประมาณ 125 – 130 ล้านเซลล์ เซลล์ชนิดนี้มีความไวในการรับแสงมากแม้จะอยู่ในที่มีแสงน้อยหรือในที่ สลัวๆ แต่ภาพที่เห็นจะเป็นภาพขาวดำ สัตว์ที่หากินกลางคืนจะมีเซลล์รูปแท่งมากกว่าเซลล์รูปกรวย
เซลล์รูปกรวย ( cone cell )มีลักษณะเป็นรูปกรวยกระจายอยู่มากทางด้านหลังของเรตินา เรตินาแต่ละข้างจะมีเซลล์รูปกรวยประมาณ 7 ล้านเซลล์ เป็นเซลล์ที่สามารถรับสีได้ แต่เซลล์ชนิดนี้จะทำงานได้ดีต้องอยู่ใน ที่มีแสงมากเท่านั้น
เซลล์รูปกรวยมี 3 ชนิดตามความสามารถในการรับแสง คือ รับแสงสีแดง สีเขียว และสีแดง การที่เรา สามารถเห็นแสงสีได้มากกว่า 3 สีก็เนื่องจากเซลล์รูปกรวยถูกกระตุ้นพร้อมกันทำให้เกิดแสงสีต่างๆขึ้นเช่นกระตุ้นเซลล์รูปกรวยที่รับแสงสีแดงกับเขียวพร้อมๆกันในความเข้มของแสงเท่ากันจะเห็นเป็นสีเหลือง
นัยน์ตายังมีส่วนประกอบอื่นๆที่สำคัญได้แก่ เลนส์ตา หรือแก้วตา ( lens ) อยู่ถัดจากชั้นคอร์เนียและม่านตาเข้าไปจะมีลักษณะเป็นเซลล์ใสอยู่ภายในปลอกเยื่อบางๆเลนส์ไม่มีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงแต่ได้รับอาหารจากของเหลวที่เรียกว่าน้ำเลี้ยงลูกตาน้ำเลี้ยงลูกตาที่อยู่ด้านหน้าเลนส์ทมีลักษณะเป็นของเหลวใสเรียกว่า เอเควียส ฮิวเมอร์ (Aquesous humor)เลนส์ตาจะแบ่งช่องว่างออกเป็น 2 ส่วนคือ ช่องว่างหน้าเลนส์ คือส่วนที่อยู่ด้านนอกใกล้คอร์เนียและช่องว่างหลังเลนส์ที่มีขนาดใหญ่กว่าตอนหน้า ด้านหลังเลนส์มีของเหลวที่มีลักษณะเป็นเมือกใสและมีสารซึ่งมีดัชนีหักเหของแสงสูงมากเรียกว่าวิเทรียส ฮิวเมอร์ (Vitreous humor)ของเหลวเหล่านี้จะมีโปรตีนและกลูโคสต่ำ แต่มีโซเดียม และคลอไรด์สูงกว่าเลือด ของเหลวนี้มีการสร้างตลอดเวลาจึงมีการไหลเวียนออกอยู่ตลอดเวลาเพื่อทำให้ค่าความดันลูกตาในช่องหน้าเลนส์ คงที่ นอกจากนี้ของเหลวนี้ยังช่วยให้ตาคงรูปร่างเป็นทรงกลมและช่วยในการหักเหแสง
เลนส์ตาเป็นเลนส์นูน สามารถยืดหดหรือปรับผิวโค้งของเลนส์ได้ โดยการควบคุมของกล้ามเนื้อรอบเลนส์ตา(ciliary ) และเอ็นยึดเลนส์ตา ( suspensory ligament )
การยืดหดของเลนส์ทำให้ความโค้งเปลี่ยนแปลงเพื่อช่วยปรับจุดโฟกัสให้เหมาะสม คือเมื่อกล้ามเนื้อยึดเลนส์หดตัวทำให้เอ็นที่เชื่อมต่ออยู่กับกล้ามเนื้อหย่อน เลนส์จะโป่ง
จะลดระยะโฟกัสให้สั้นลงสามารถรับภาพที่อยู่ในระยะใกล้ได้ การปรับผิวของเลนส์ตาขณะมองภาพใกล้เลนส์นูนจะป่องออก แต่ถ้ากล้ามเนื้อคลายตัวจะทำให้เอ็นที่ติดกับกล้ามเนื้อตึง ก็จะไปดึงให้เลนส์แบนราบระยะโฟกัสอยู่ไกลจึงเหมาะกับมองภาพที่อยู่ไกลขณะที่มองภาพใกล เลนส์ตาจะแบนลง ในขณะที่มองภาพใกล้กล้ามเนื้อรอบเลนส์ตาจะหด ทำให้เอ็นยึดเลนส์คลายตัวเลนส์จะนูนป่องออกจะรับภาพได้ชัดเจน ถ้ามองวัตถุใกล้ๆนานเช่นเพ่งมองตัวหนังสือใกล้ๆนานๆจะรู้สึกปวดตา เนื่องจากกล้ามเนื้อตาหดตัวอยู่ตลอดเวลา
องค์ประกอบในการมองเห็นของนัยน์ตา มี 3 ส่วนคือ
1. ระบบเลนส์ ประกอบด้วยกระจกตา และเลนส์ ทำหน้าที่รวบรวม ( focus )แสงให้ตกบนจอรับภาพ
2. เซลล์รับแสงและเซลล์ประสาทอื่นๆซึ่งเรียงตัวกันเป็นชั้นๆในเรตินาทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นกระแสประสาท
3. ระบบเส้นประสาท สำหรับส่งกระแสประสาทจากเรตินาไปยังสมองส่วน visual cortex
การเกิดภาพ
เมื่อแสงในช่วงที่ตาคนเห็นได้ในวัตถุจะผ่านกระจกตาและเลนส์ไปยังเรตินา เมื่อแสงผ่านเลนส์เข้าไปจะถูกเบนให้รวมจุดโฟกัส ในคนสายตาปกติจุดรวมแสงจะอยู่บนเรตินาเกิดเป็นภาพชัดเจน พลังงานของแสงจะกระตุ้นให้เซลล์รับแสงทั้งสองชนิดเกิดกระแสประสาทผ่านเส้นประสาทสมองเข้าสู่ visual cortex ภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพหัวกลับ แต่สมองแปลความรู้สึกว่าหัวตั้ง
การรับภาพกับสมอง เมื่อภาพตกลงบนเรตินาแล้วจะถูกเปลี่ยนไปเป็นกระแสประสาทส่งไปตามเส้นประสาทสมองคู่ที่ 2 ก่อนที่จะเข้าสู่สมองเส้นประสาทนี้จะไขว้กันตรงบริเวณที่เรียกว่า ออพติก ไคแอสมา ( Optic chiasma ) ภาพจากตาขวาจะถูกส่งเข้าสมองด้านซ้ายและในทางตรงกันข้ามภาพจากตาซ้ายถูกส่งเข้าสมองด้านขวา ส่วนของภาพที่ซ้อนกันเรียกว่าส่วนออพติก แอกซิส (optic axes)
การเห็นด้วยสองตา มีการรวมภาพที่เห็นในตาแต่ละข้างเข้าด้วยกัน และมีการแปลภาพของ visual cortex เป็นภาพเดียวทำให้มองเห็นเป็นภาพสามมิติ กะระยะทางของภาพได้แม่นยำเพิ่มบริเวณที่ตามองเห็นได้มากกว่าตาเดียวทำให้จุดบอดหายไป จุดที่ภาพจากตาทั้งสองไปรวมกันคือที่จุด correspond ถ้าภาพไม่ได้รวมกันที่จุดนี้ภาพที่ปรากฏจะเป็นภาพซ้อน
สรีรวิทยาของการมองเห็น
เยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์รูปแท่งมีรงควัตถุสีม่วงแดงเรียกว่าโรดอปซิน ( rhodopsin ) ประกอบด้วยโปรตีนชนิดหนึ่งชื่อออปซิน ( opsin )จับกับอนุพันธ์ของวิตามินเอ ที่เรียกว่าเรตินีน (retinene )ในรูปของ cis retinene รงควัตถุนี้คล้ายกับสารที่ฉาบไว้บนฟิล์มถ่ายรูปเมื่อมีแสงผ่านเข้ามากระตุ้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี กลายเป็น ออปซิน และเรตินีน และเกิดพลังงานในรูปกระแสไฟฟ้ากระตุ้นให้เกิดกระแสประสาทในรูปแท่งผ่านเซลล์ประสาทชั้นต่างๆในเรตินาผ่านเส้นประสาทออกไปยังสมองส่วนซีรีบรัม
ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเอ ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นในการสังเคราะห์โรดอปซินขึ้นมาใหม่มีไม่เพียงพอทำให้การมองเห็นได้ในเวลาที่มีแสงสลัว หรือในที่มืดช้ากว่าปกติ เรียกว่าโรคตาบอดกลางคืน (night blindness)แต่ถ้ารับประทานอาหารที่มีวิตามินเออย่างเพียงพอ วิตามินเอ จะเปลี่ยนไปเป็นเรตินีน การรับภาพจะเกิดขึ้นได้ตามปกติ
การมองเห็นภาพสี เกิดจากการทำงานของเซลล์รูปกรวยมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเช่นเดียวกับเซลล์รูปแท่ง แต่ต่างกันที่รงควัตถุที่ถูกกระตุ้นเป็นไอโอดอปซิน ( iodopsin )ซึ่งประกอบด้วย photopsin และ retinene และแสงที่จะกระตุ้นให้ไอโอดอปซินเกิดการแตกตัวเป็นโฟทอปซินและเรตินีน ต้องมีความเข้มสูง
ความผิดปกติของตาและการแก้ไข
1. สายตาสั้น ภาพเมื่อผ่านเลนส์ตาจะตกก่อนเรตินา เกิดจากลูกตายาวรีมากกว่าปกติ หรือเลนส์ตาโค้งมากไป แก้ไขได้โดยสวมแว่นที่ทำด้วยเลนส์เว้า
2.สายตายาว ภาพจะตกเลยเรตินาออกไป อาจเป็นเพราะลูกตาสั้นกว่าปกติหรือเลนส์ตาแบนไปเพราะกล้ามเนื้อรอบเลนส์ตาขาดประสิทธิภาพไม่บีบให้เลนส์ป่องออกมาได้มักพบในคนสูงอายุ การแก้ไข โดยการสวมแว่นที่ทำด้วยเลนส์นูน
3.สายตาเอียง เกิดจากผิวกระจกตาหรือเลนส์ตาโค้งไม่เท่ากันหรือไม่สม่ำเสมอกันทำให้แสงที่ผ่านผิวกระจกตา เกิดการหักเหไม่เท่ากันและทำให้ภาพไม่เป็นจุดชัดเจน หรืออาจเกิดจากผิดปกติที่เลนส์ การแก้ไข ใช้แว่นตาที่ทำด้วยเลนส์กาบกล้วย (cylind zical lens ) หรือเลนส์ทรงกระบอก ที่มีด้านหน้าเว้าด้านหลังนูนเพื่อให้แสงที่ตกผ่านแต่ละระบบมาโฟกัสที่จุดเดียวกัน
4. ตาเหล่ ตาเข เกิดจากกล้ามเนื้อภายนอกลูกตาทำงานไม่ประสานกัน เกิดจากการอ่อนแรงของ กล้ามเนื้อมัดใดมัดหนึ่งจะทำให้ภาพซ้อนกัน การแก้ไข ถ้าเป็นเด็กใช้วิธีการฝึกกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง แต่ถ้าเป็นมากใช้วิธีผ่าตัดมัดกล้ามเนื้อที่หย่อน
5. การเห็นภาพไม่ชัด เนื่องจากรูม่านตาเปิดกว้าง แสงที่ผ่านเลนส์จึงโฟกัสที่จุดต่างๆกันจะเกิดสีรุ้งหลายสีขึ้น จึงทำให้เห็นภาพไม่ชัดเจนและเกิดสีพร่าขึ้น การแก้ไขโดยสวมแว่นดำและพยายามอย่ามองวัตถุในที่สว่างมากๆ หรือมีแดดจ้า หรืออาจให้ยาลดรูม่านตา
6. ตาบอดสี (color blindness )เกิดจากระบบการทำงานของเซลล์รูปกรวยในชั้นเรตินาผิดปกติไปจำแนกได้เป็นบอดเฉพาะสีเขียวกับสีแดง เรียกว่าตาบอดสีไม่สมบูรณ์ ยังมองเห็นสีที่เซลล์รูปกรวยทำงานได้
ส่วนอีกประเภทหนึ่งจะเห็นได้เฉพาะภาพขาวดำเท่านั้นเรียกว่าตาบอดสีอย่างสมบูรณ์ เพราะสมองส่วนที่ทำหน้าที่รับสีถูกทำลาย หรืออาจเกิดจากโรคบางชนิด
วันจันทร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
การเขียนข้อเสนอโครงร่างวิจัย
เนื่องจากได้รับการคัดเลือกจากสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) ให้เป็นครูพี่เลี้ยงวิชาการตามโครงการพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ผู้สอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ช่วงชั้นที่ 3 จึงมีโอกาสได้เข้ารับการประชุมปฏิบัติการอบรมครูแกนนำวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ หลักสูตร 3 การวิจัยในชั้นเรียน วันที่ 2 – 4 กรกฎาคม 2552 ณโรงแรมวินเซอร์ สวีทส์ วิทยากรในการอบรมมีหลายท่าน แต่หัวข้อที่นำมาเผยแพร่นี้ คือการเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย วิทยากรคือ รศ.ชูศรี วงศ์รัตนะ อาจารย์คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ เห็นว่าเนื้อหาจากการอบรมน่าสนใจและคิดว่าน่าจะมีประโยชน์ต่อเพื่อนครูในการทำวิจัย จึงนำเอกสารการอบรมมาเผยแพร่
กัญญา ชัยรัตน์
กลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์
การเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย
หัวข้อที่จะเสนอมี 3 หัวข้อ คือ
· ความหมายของข้อเสนอโครงการวิจัย
· ส่วนประกอบที่สำคัญของข้อเสนอโครงการวิจัย
· หลักการเขียนข้อเสนอ
ความหมายของข้อเสนอโครงการวิจัย
ข้อเสนอโครงการวิจัย ( Research Proposal ) คือ แผนงานวิจัยที่ผู้วิจัยเขียน ตามที่ผู้วิจัยได้คิดและวางแผนไว้เป็นลำดับขั้นตอนหลังจากที่ได้หัวข้อวิจัยที่เหมาะสมแล้ว เป็นแผนงานวิจัยที่กำหนดไว้ล่วงหน้าว่าจะทำอะไร และจะทำอย่างไร เป็นงานวิจัยที่มีคุณค่าหรือมีความสำคัญอย่างไร
โครงสร้างความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในการวิจัยเป็นอย่างไร มีกรอบแนวคิดที่ได้จากการศึกษาเอกสาร ทฤษฎี และงานวิจัยสนับสนุนหรือไม่ ใช้รูปแบบการวิจัยแบบใดในการตอบปัญหาวิจัย และมีขั้นตอนการดำเนินการวิจัยอย่างไร โดยรายละเอียดต่าง ๆ ที่เขียนในแผนงานวิจัยต้องสอดคล้องกับหัวข้อวิจัยและวัตถุประสงค์ของการวิจัย
ส่วนประกอบที่สำคัญของข้อเสนอโครงการวิจัย
1. ชื่อเรื่อง
2. ภูมิหลัง หรือที่มาของปัญหา
3. วัตถุประสงค์ของการวิจัย
4. ความสำคัญของการวิจัย
5. ขอบเขตของการวิจัย
6. นิยามศัพท์เฉพาะ
7. กรอบแนวคิดในการวิจัย
8. สมมติฐานของการวิจัย ( ถ้ามี )
9. เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
10. วิธีดำเนินการ ซึ่งควรกล่าวถึงหัวข้อต่อไปนี้
กลุ่มเป้าหมายนักเรียน
เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
แบบแผนการวิจัย ( ถ้ามี ) และขั้นตอนการทดลอง
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
การวิเคราะห์ข้อมูล
11. งบประมาณค่าใช้จ่าย และระยะเวลาในการดำเนินงาน
หลักการเขียนข้อเสนอโครงการวิจัย
หลักการเขียนชื่อเรื่อง
ระบุตัวแปร กลุ่มเป้าหมายนักเรียน รูปแบบการวิจัย
ตัวอย่าง ผลการใช้ชุดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ที่มีต่อผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิทยาศาสตร์ และเจตคติต่อวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
หลักการเขียนภูมิหลัง
- ความสำคัญของตัวแปรที่เลือกมาศึกษา
- สภาพปัญหาที่พบในกลุ่มเป้าหมายนักเรียน
- แนวทางการวิจัยที่จะใช้ในการแก้ปัญหา
หลักการเขียนความมุ่งหมายของการวิจัย
- ศึกษาอะไร ( ตัวแปรตาม )
- กับใคร ( กลุ่มเป้าหมายนักเรียน
- ในแง่ใด ( สำรวจ เปรียบเทียบ หาความสัมพันธ์ หรือทดลอง )
หลักการเขียนความสำคัญของการวิจัย
เขียนบรรยายในประเด็นดังนี้
- ทำให้ได้ความรู้ใหม่อะไร
- ได้แนวทางอะไรในการแก้ปัญหา
- ได้ประโยชน์สำหรับใคร
หลักการเขียนขอบเขตของการวิจัย
- กำหนดลักษณะของกลุ่มเป้าหมายนักเรียน และระบุจำนวนให้ชัดเจน
- กำหนดเหตุผลและวิธีการเลือกกลุ่มเป้าหมาย
- ระบุตัวแปรที่ศึกษา
หลักการเขียนนิยามศัพท์เฉพาะ
- นิยามศัพท์เฉพาะ คือ การให้ความหมายของคำสำคัญในการวิจัยเรื่องนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวแปรตาม และตัวแปรอิสระ
- ตัวแปรที่เป็นนามธรรม ต้องให้นิยามแบบนิยามปฏิบัติการ ( Operational definition )
- การนิยาม ต้องอาศัยทฤษฎี หลักการ แนวคิดจากผู้รู้ ตลอดจนงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
หลักการเขียนกรอบแนวคิดในการวิจัย
ควรเสนอกรอบแนวคิดที่เป็นทฤษฎี หลักการ หรือแหล่งที่มาของตัวแปรอิสระที่จะใช้เป็นแนวทางแก้ปัญหาของนักเรียน
หลักการเขียนสมมติฐานของการวิจัย
- สมมติฐานของการวิจัย คือ คำตอบที่ผู้วิจัยคาดคะเนไว้ล่วงหน้าอย่างมีเหตุผล เพื่อตอบวัตถุประสงค์ของการวิจัยที่ได้วางไว้
- งานวิจัยที่ต้องตั้งสมมติฐาน คือ งานวิจัยที่ต้องการอธิบายตัวแปรตามด้วยตัวแปรอิสระ
หลักการเขียนเอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
- เน้นแนวคิด หลักการ หรือทฤษฎีเกี่ยวกับที่มาของตัวแปรหลักที่ศึกษา
- เน้นงานวิจัยเกี่ยวกับตัวแปรหลักที่ศึกษา
- สรุปเป็นแนวคิด หรือหลักการ ที่ผู้วิจัยจะใช้ในการดำเนินการวิจัย
หลักการเขียนวิธีดำเนินการวิจัย
1. การเขียนกลุ่มเป้าหมายนักเรียน
- ลักษณะการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
- เหตุผลของการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
- เทคนิคหรือวิธีการเลือกกลุ่มเป้าหมาย
2. การเขียนเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย
2.1 เครื่องมือการวิจัยที่ใช้เก็บรวบรวมข้อมูล
- ชื่อเครื่องมือการวิจัย เช่น แบบสอบถาม แบบทดสอบ
- ลักษณะเครื่องมือการวิจัย เช่น แบบสอบถามแบบมาตรส่วนประมาณค่า
แบบทดสอบแบบอัตนัย
- ที่มาของเครื่องมือการวิจัย : สร้างเอง ปรับปรุง ใช้เครื่องมือที่มีคุณภาพ
2.2 เครื่องมือการวิจัยที่ใช้ในการทดลอง
- ชื่อเครื่องมือ เช่น ชุดกิจกรรม แบบฝึก แผนการจัดการเรียนรู้แบบสืบเสาะ
- ระบุลักษณะเครื่องมือ
- ที่มาของเครื่องมือ : สร้างเอง พัฒนาจากที่มีอยู่
3. การเขียนแบบแผนการวิจัย ( ถ้ามี )
- ชื่อแบบแผนการวิจัย
- จำนวนกลุ่มตัวอย่าง
- จำนวนครั้งของการเก็บข้อมูล
4. การเขียนขั้นตอนของการดำเนินการทดลอง
- เขียนให้สอดคล้องกับแบบแผนการวิจัยที่เลือกใช้
- เขียนให้เห็นกระบวนการทดลองเป็นขั้น ๆ
5. การเขียนวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล
- จำนวนครั้งในการเก็บรวบรวมข้อมูล
- ลักษณะของเครื่องมือการวิจัยที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลแต่ละครั้ง
- วิธีการเก็บข้อมูล ( เช่น ใช้แบบทดสอบ สัมภาษณ์ จดบันทึก )
6. การเขียนเรื่องการสะท้อนข้อมูลกลับ
- สะท้อนกลับเมื่อใด
- สะท้อนกลับอย่างไร
- ใช้ผลการสะท้อนกลับอย่างไร
7. การเขียนเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูล
7.1 กรณีข้อมูลเชิงปริมาณ
- ใช้สถิติพื้นฐาน เช่น ร้อยละ ค่าเฉลี่ย
- ใช้แผนภูมิแท่ง / ใช้กราฟเส้น
7.2 กรณีข้อมูลเชิงคุณภาพ
- วิเคราะห์เนื้อหา ( ข้อมูลที่ได้จากการสังเกต จดบันทึก )
- จัดกลุ่มเนื้อหา
วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
อวัยวะรับความรู้สึกหูและการทำงาน
นักเรียนศึกษาคลิปวิดีการทำงานของหู แล้วจงอธิบายลำดับการเคลื่อนที่ของคลื่นเสียงที่ผ่านเข้าไปในหูจนถึงเส้นประสาทรับเสียง
หูและการทำงาน
ในสัตว์มีกระดูกสันหลัง หูทำหน้าที่ในการรับฟัง ( phononreceptor) และทำหน้าที่เกี่ยวกับ
การทรงตัว ( statoreceptor ) ส่วนในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอวัยวะในการรับฟังและทรงตัวอยู่คนละแห่ง
ในสัตว์พวกกบ คางคก จะมีช่องหูส่วนกลาง ด้านนอกของช่องหูส่วนนี้มีเยื่อบางๆปิดอยู่ เยื่อนี้อยู่ในระดับเดียวกับผิวหนัง ในสัตว์เลื้อยคลานมีอวัยวะรับฟังเสียงที่ทำงานได้ดีกว่าสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก
งูมีอวัยวะรับฟังเสียงแต่ยังไม่มีแก้วหูเสียงจะผ่านกะโหลกศีรษะมายังอวัยวะรับความรู้สึกโดยตรงโดยรับเสียงจากพื้นดินได้ทางเดียวสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆและนก มีเยื่อแก้วหูที่อยู่ลึกจมอยู่ใต้ผิวหนังสัตว์เหล่านี้จึงมีรูหู สัตว์เลื้อยคลานบางชนิดเช่นจระเข้จะมีแผ่นหนังปิดช่องรูหู แผ่นหนังนี้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเจริญไปเป็นใบหู
หูของคนแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ หูส่วนนอก หูส่วนกลาง และหูส่วนใน
1.หูส่วนนอก ( outer ear )ประกอบด้วย
1.1 ใบหู ( pinna ) ทำหน้าที่รวมคลื่นเสียงจากหูส่วนนอกเข้าสู่ช่องหู ประกอบด้วยกระดูกอ่อนที่ยืดหยุ่นได้ สามารถบิดตัวหรือกระดิกได้โดยไม่เสียรูปทรง เป็นโครงสร้างที่พบเฉพาะในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเท่านั้นสัตว์บางชนิดเช่นม้าจะเคลื่อนไหวใบหูเพื่อปรับตัวตามทิศทางของคลื่นเสียง
1.2 ช่องหู หรือรูหู ( external auditary canal )เป็นช่องยาว 25 ซม. อยู่ถัดจากใบหูเข้าไปจนจดเยื่อแก้วหู เป็นทางผ่านของคลื่นเสียงที่สะท้อนจากใบหูไปยังเยื่อแก้วหู ส่วนกลางของช่องหูจะมีขนและต่อมขี้หูผลิตสารคล้ายขี้ผึ้งทำหน้าที่ป้องกันแมลงเล็กๆและฝุ่นละอองไม่ให้เข้าสู่ภายใน และยังช่วยต้านทานคลื่นเสียงที่มากระทบเพื่อป้องกันเยื่อแก้วหู
1.3 เยื่อแก้วหู ( tympanic membrane หรือ ear drum)มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆรูปไข่กั้นระหว่างช่องหูกับหูส่วนกลาง โดยขึงอยู่บนขอบกระดูก คลื่นเสียงที่ผ่านเข้าไปในหูจะทำให้เยื่อแก้วหูสั่นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณความแรงของคลื่นเสียง ที่ผ่านเข้ามาเยื่อแก้วหูจะเพิ่มแรงสั่นสะเทือนได้มากถึง 17 เท่าเยื่อแก้วหูของคนปรกติจะไม่ทะลุและจะเป็นมันวาวเมื่อส่องไฟดู
2. หูส่วนกลาง (Middle ear)ประกอบด้วย
2.1 ท่อยูเตเชียน ( eustachian tube ) เป็นท่อเล็กๆเชื่อมต่อกับคอหอย ท่อนี้ทำหน้าที่ปรับความดัน
ระหว่างหูส่วนในกับบรรยากาศภายนอกให้เท่ากัน ในขณะที่ขึ้นบนดอยสูงซึ่งมีความดันภายนอกน้อย
กว่าภายใน เยื่อแก้วหูจะถูกดันให้โป่งออกมาทำให้เกิดอาการหูอื้อ หรือในคนที่เป็นหวัดอาจทำให้ท่อ
ยูสเตเชียนอักเสบและตีบตันได้ มีผลทำให้ความดันภายนอกกับภายในหูไม่เท่ากันทำให้เกิดอาการหู
อื้อได้เช่นเดียวกัน
2.2 กระดูก 3 ชิ้น คือกระดูกค้อน (malleus ) กระดูกทั่ง (incus ) และกระดูกรูปโกลน (stapes ) กระดูกทั้ง 3 ชิ้นนี้ทำหน้าที่ขยายความสั่นสะเทือนของเยื่อแก้วหูให้เพิ่มมากขึ้นโดยความสั่นสะเทือนของเยื่อแก้วหูจะทำให้กระดูกรูปค้อนมีการเคลื่อนไหวเป็นอันดับแรกส่งผลให้กระดูกทั่งและกระดูกโกลนเคลื่อนไหวตาม กระดูกทั้ง 3 ชิ้นทำหน้าที่ช่วยขยายความสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงให้เพิ่มมากกว่าเดิมประมาณ 1.3 เท่า และทำหน้าที่เป็นคานถ่ายทอดการสั่นสะเทือนเข้าไปยังหูตอนในทางช่องรูปไข่
3. หูส่วนใน ( Inner ear ) เป็นส่วนที่อยู่ต่อจากหูส่วนกลาง เป็นที่อยู่ของหน่วยรับความรู้สึกในการรับฟังเสียงและหน่วยรับความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว
3.1 คอเคลีย ( cochlea )เป็นหน่วยรับความรู้สึกในการรับฟังเสียง มีลักษณะเป็นหลอดยาว 35 ม.ม.
ขดเวียนแบบก้นหอยส่วนฐานใหญ่ส่วนยอดเล็ก ภายในมีของเหลวบรรจุเรียกว่า endolymph และมี
อวัยวะรับเสียงโดยตรงเรียกว่า Organ of corti ภายในมีแผ่นเยื่อ 2 แผ่นขึงติดตลอดความยาวแบ่ง
ส่วนของคอเคลียออกเป็น 3 ช่องคือ ช่องบน ช่องกลางและช่องล่างทั้งสามห้องมีของเหลวบรรจุอยู่เต็ม
ของเหลวในช่องบนและช่องล่างเรียกว่า เพอริลิมพ์ ( perilymph) ส่วนของเหลวที่อยู่ในช่องกลาง
เรียกว่าเอนโดลิมพ์ (endolymph)ภายในช่องกลางมีอวัยวะรับเสียงเรียกว่าออร์แกน ออฟคอร์ติ
(Organ of corti ) ประกอบด้วยเซลล์ซึ่งมีขนเส้นเล็กติดอยู่เรียกว่าเซลล์ขน ( hair cells )เมื่อคลื่นเสียง
ผ่านเข้ามาจากแก้วหูจนถึงกระดูกค้อน ทั่ง โกลน ผ่านช่องรูปไข่เข้าเพอริลิมพ์และส่งไปยังเอนโดลิมพ์
เซลล์ขนในออร์แกนออฟคอร์ติจึงสั่นสะเทือนและส่งคลื่นของแรงสั่นสะเทือนนี้ไปยังเส้นประสาทสมอง
คู่ที่ 8
3.2 อวัยวะรับความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว ( Organ of equilibrium ) ประกอบด้วยหลอดครึ่งวงกลม 3 วง ( semicircular canal ) 3 อันเชื่อมติดกันกับถุงยูตริเคิล ( utricle หรือ utriculus) หลอดทั้ง 3อันมีรูปทรงครึ่งวงกลมตั้งฉากซึ่งกันและกัน ปลายของแต่ละหลอดเปิดเข้าสู่ยูตริเคิล ภายในหลอดมีของเหลวชื่อเอนโดลิมพ์หล่อเลี้ยงปลายด้านที่ไม่เชื่อมกับยูตริเคิลของแต่ละหลอดมีส่วนที่พองออกเรียกว่ แอมพูลา ( ampula ) ในแอมพูลามีกลุ่มเซลล์ที่มีขนเส้นเล็กๆเซลล์กลุ่มนี้ทำหน้าที่รับความรู้สึก เรียกว่า คริสตา
( crista ) ในแอมพูลายังมีก้อนหินปูนเล็กๆเรียกว่าสแตโตลิธ ( statolith ) เมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือเอียงตัวเอนโดลิมพ์จะไหลไปกระทบกับขนและสแตโตลิธกลิ้ง ไปกระทบขน ส่งความสะเทือนไปยังเซลล์ เซลล์จะส่งกระแสประสาทออกไปกับเส้นประสาทรับฟัง ส่งไปยังสมองทำให้ทราบถึงตำแหน่งที่อยู่ได้ว่า เอียงไปทางไหน จากนั้นยังสมองส่วนซีรีเบลลัม จะส่งกระแสประสาทออกไปกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อที่เกี่ยว กับการทรงตัวและรับรู้เกี่ยวกับตำแหน่งและความสมดุลของร่างกาย
ในสัตว์มีกระดูกสันหลัง หูทำหน้าที่ในการรับฟัง ( phononreceptor) และทำหน้าที่เกี่ยวกับ
การทรงตัว ( statoreceptor ) ส่วนในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอวัยวะในการรับฟังและทรงตัวอยู่คนละแห่ง
ในสัตว์พวกกบ คางคก จะมีช่องหูส่วนกลาง ด้านนอกของช่องหูส่วนนี้มีเยื่อบางๆปิดอยู่ เยื่อนี้อยู่ในระดับเดียวกับผิวหนัง ในสัตว์เลื้อยคลานมีอวัยวะรับฟังเสียงที่ทำงานได้ดีกว่าสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก
งูมีอวัยวะรับฟังเสียงแต่ยังไม่มีแก้วหูเสียงจะผ่านกะโหลกศีรษะมายังอวัยวะรับความรู้สึกโดยตรงโดยรับเสียงจากพื้นดินได้ทางเดียวสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆและนก มีเยื่อแก้วหูที่อยู่ลึกจมอยู่ใต้ผิวหนังสัตว์เหล่านี้จึงมีรูหู สัตว์เลื้อยคลานบางชนิดเช่นจระเข้จะมีแผ่นหนังปิดช่องรูหู แผ่นหนังนี้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเจริญไปเป็นใบหู
หูของคนแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ หูส่วนนอก หูส่วนกลาง และหูส่วนใน
1.หูส่วนนอก ( outer ear )ประกอบด้วย
1.1 ใบหู ( pinna ) ทำหน้าที่รวมคลื่นเสียงจากหูส่วนนอกเข้าสู่ช่องหู ประกอบด้วยกระดูกอ่อนที่ยืดหยุ่นได้ สามารถบิดตัวหรือกระดิกได้โดยไม่เสียรูปทรง เป็นโครงสร้างที่พบเฉพาะในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเท่านั้นสัตว์บางชนิดเช่นม้าจะเคลื่อนไหวใบหูเพื่อปรับตัวตามทิศทางของคลื่นเสียง
1.2 ช่องหู หรือรูหู ( external auditary canal )เป็นช่องยาว 25 ซม. อยู่ถัดจากใบหูเข้าไปจนจดเยื่อแก้วหู เป็นทางผ่านของคลื่นเสียงที่สะท้อนจากใบหูไปยังเยื่อแก้วหู ส่วนกลางของช่องหูจะมีขนและต่อมขี้หูผลิตสารคล้ายขี้ผึ้งทำหน้าที่ป้องกันแมลงเล็กๆและฝุ่นละอองไม่ให้เข้าสู่ภายใน และยังช่วยต้านทานคลื่นเสียงที่มากระทบเพื่อป้องกันเยื่อแก้วหู
1.3 เยื่อแก้วหู ( tympanic membrane หรือ ear drum)มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆรูปไข่กั้นระหว่างช่องหูกับหูส่วนกลาง โดยขึงอยู่บนขอบกระดูก คลื่นเสียงที่ผ่านเข้าไปในหูจะทำให้เยื่อแก้วหูสั่นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณความแรงของคลื่นเสียง ที่ผ่านเข้ามาเยื่อแก้วหูจะเพิ่มแรงสั่นสะเทือนได้มากถึง 17 เท่าเยื่อแก้วหูของคนปรกติจะไม่ทะลุและจะเป็นมันวาวเมื่อส่องไฟดู
2. หูส่วนกลาง (Middle ear)ประกอบด้วย
2.1 ท่อยูเตเชียน ( eustachian tube ) เป็นท่อเล็กๆเชื่อมต่อกับคอหอย ท่อนี้ทำหน้าที่ปรับความดัน
ระหว่างหูส่วนในกับบรรยากาศภายนอกให้เท่ากัน ในขณะที่ขึ้นบนดอยสูงซึ่งมีความดันภายนอกน้อย
กว่าภายใน เยื่อแก้วหูจะถูกดันให้โป่งออกมาทำให้เกิดอาการหูอื้อ หรือในคนที่เป็นหวัดอาจทำให้ท่อ
ยูสเตเชียนอักเสบและตีบตันได้ มีผลทำให้ความดันภายนอกกับภายในหูไม่เท่ากันทำให้เกิดอาการหู
อื้อได้เช่นเดียวกัน
2.2 กระดูก 3 ชิ้น คือกระดูกค้อน (malleus ) กระดูกทั่ง (incus ) และกระดูกรูปโกลน (stapes ) กระดูกทั้ง 3 ชิ้นนี้ทำหน้าที่ขยายความสั่นสะเทือนของเยื่อแก้วหูให้เพิ่มมากขึ้นโดยความสั่นสะเทือนของเยื่อแก้วหูจะทำให้กระดูกรูปค้อนมีการเคลื่อนไหวเป็นอันดับแรกส่งผลให้กระดูกทั่งและกระดูกโกลนเคลื่อนไหวตาม กระดูกทั้ง 3 ชิ้นทำหน้าที่ช่วยขยายความสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงให้เพิ่มมากกว่าเดิมประมาณ 1.3 เท่า และทำหน้าที่เป็นคานถ่ายทอดการสั่นสะเทือนเข้าไปยังหูตอนในทางช่องรูปไข่
3. หูส่วนใน ( Inner ear ) เป็นส่วนที่อยู่ต่อจากหูส่วนกลาง เป็นที่อยู่ของหน่วยรับความรู้สึกในการรับฟังเสียงและหน่วยรับความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว
3.1 คอเคลีย ( cochlea )เป็นหน่วยรับความรู้สึกในการรับฟังเสียง มีลักษณะเป็นหลอดยาว 35 ม.ม.
ขดเวียนแบบก้นหอยส่วนฐานใหญ่ส่วนยอดเล็ก ภายในมีของเหลวบรรจุเรียกว่า endolymph และมี
อวัยวะรับเสียงโดยตรงเรียกว่า Organ of corti ภายในมีแผ่นเยื่อ 2 แผ่นขึงติดตลอดความยาวแบ่ง
ส่วนของคอเคลียออกเป็น 3 ช่องคือ ช่องบน ช่องกลางและช่องล่างทั้งสามห้องมีของเหลวบรรจุอยู่เต็ม
ของเหลวในช่องบนและช่องล่างเรียกว่า เพอริลิมพ์ ( perilymph) ส่วนของเหลวที่อยู่ในช่องกลาง
เรียกว่าเอนโดลิมพ์ (endolymph)ภายในช่องกลางมีอวัยวะรับเสียงเรียกว่าออร์แกน ออฟคอร์ติ
(Organ of corti ) ประกอบด้วยเซลล์ซึ่งมีขนเส้นเล็กติดอยู่เรียกว่าเซลล์ขน ( hair cells )เมื่อคลื่นเสียง
ผ่านเข้ามาจากแก้วหูจนถึงกระดูกค้อน ทั่ง โกลน ผ่านช่องรูปไข่เข้าเพอริลิมพ์และส่งไปยังเอนโดลิมพ์
เซลล์ขนในออร์แกนออฟคอร์ติจึงสั่นสะเทือนและส่งคลื่นของแรงสั่นสะเทือนนี้ไปยังเส้นประสาทสมอง
คู่ที่ 8
3.2 อวัยวะรับความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว ( Organ of equilibrium ) ประกอบด้วยหลอดครึ่งวงกลม 3 วง ( semicircular canal ) 3 อันเชื่อมติดกันกับถุงยูตริเคิล ( utricle หรือ utriculus) หลอดทั้ง 3อันมีรูปทรงครึ่งวงกลมตั้งฉากซึ่งกันและกัน ปลายของแต่ละหลอดเปิดเข้าสู่ยูตริเคิล ภายในหลอดมีของเหลวชื่อเอนโดลิมพ์หล่อเลี้ยงปลายด้านที่ไม่เชื่อมกับยูตริเคิลของแต่ละหลอดมีส่วนที่พองออกเรียกว่ แอมพูลา ( ampula ) ในแอมพูลามีกลุ่มเซลล์ที่มีขนเส้นเล็กๆเซลล์กลุ่มนี้ทำหน้าที่รับความรู้สึก เรียกว่า คริสตา
( crista ) ในแอมพูลายังมีก้อนหินปูนเล็กๆเรียกว่าสแตโตลิธ ( statolith ) เมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือเอียงตัวเอนโดลิมพ์จะไหลไปกระทบกับขนและสแตโตลิธกลิ้ง ไปกระทบขน ส่งความสะเทือนไปยังเซลล์ เซลล์จะส่งกระแสประสาทออกไปกับเส้นประสาทรับฟัง ส่งไปยังสมองทำให้ทราบถึงตำแหน่งที่อยู่ได้ว่า เอียงไปทางไหน จากนั้นยังสมองส่วนซีรีเบลลัม จะส่งกระแสประสาทออกไปกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อที่เกี่ยว กับการทรงตัวและรับรู้เกี่ยวกับตำแหน่งและความสมดุลของร่างกาย
กลวิธีการสอน
เป็นบทความเรื่องแรกของครูกัญญา
เนื่องจากได้รับการคัดเลือกจากสถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี(สสวท.) ให้เป็นครูพี่เลี้ยงวิชาการตามโครงการพัฒนาเครือข่ายการเรียนรู้ผู้สอนวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ช่วงชั้นที่ 3 จึงมีโอกาสได้เข้ารับการประชุมปฏิบัติการอบรมครูแกนนำวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ วันที่ 29 เมษายน – 2 พฤษภาคม 2552 ณโรงแรมแอมบาสเดอร์ เห็นว่าความรู้ ที่ได้รับจากการอบรมมีประโยชน์ต่อการนำมาพัฒนาผู้เรียน จึงได้นำบางส่วนของการได้รับการอบรมมาถ่ายทอดเพื่อที่จะได้เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนครู
กัญญา ชัยรัตน์
กลวิธีการสอน
( Teaching Strategies )
ในการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์แม้ว่าจะมีวิธีการและกิจกรรมที่หลากหลายและเลือกใช้วิธีสอนที่เหมาะกับเนื้อหาตามมาตรฐานการเรียนรู้ของหลักสูตรแล้ว ครูจำเป็นต้องมีกลวิธี
( เทคนิค + วิธีการ ) ต่าง ๆ ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อกระตุ้นความคิด การตั้งคำถาม และส่งเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้อย่างจริงจังและทั่วถึง รวมทั้งเป็นการสร้างบรรยากาศแห่งการเรียนรู้ ให้นักเรียนเกิดความตื่นเต้น กระตือรือร้น และไม่น่าเบื่อหน่ายอีกด้วย
นักการศึกษาทั่วไปและนักการศึกษาวิทยาศาสตร์ได้ทำการวิจัยคิดค้นกลวิธีการสอนไว้มากมาย เพื่อให้ครูนำไปใช้ประกอบในกิจกรรมการเรียนการสอน ซึ่งจะทำให้การทำกิจกรรมการเรียนรู้ของนักเรียนมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลมากขึ้น อย่างไรก็ตามการจะเลือกกลวิธีใดมาใช้กับกิจกรรมการเรียนรู้ใดหรือขั้นตอนใดของกิจกรรมนั้น ต้องพิจารณาให้เหมาะสม ซึ่งในการออกแบบจัดกระบวนการเรียนรู้ที่จะสอดแทรกกลวิธีต่าง ๆ นั้นจะประสบความสำเร็จในการเรียนรู้หรือไม่ ควรต้องคำนึงถึงประเด็นต่าง ๆ ดังนี้
§ กลวิธีอะไรที่จะทำให้การสังเกตมีความหมายและเกิดการเรียนรู้
§ กลวิธีอะไรที่จะทำให้นักเรียน ตั้งคำถามได้อย่างหลากหลายและได้จำนวนมาก
§ กลวิธีอะไรที่จะทำให้นักเรียนสืบค้นข้อมูลได้ตรงตามวัตถุประสงค์และกว้างขวาง
§ กลวิธีอะไรที่จะทำให้นักเรียนมีส่วนร่วมในการเรียนการสอนอย่างเท่าเทียมกัน
§ กลวิธีอะไรที่จะทำให้นักเรียนสามารถออกแบบวิธีการสำรวจตรวจสอบด้วยตนเอง
§ กลวิธีอะไรที่จะทำให้นักเรียนสนใจความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์กับชีวิต
การใช้กลวิธีที่หลากหลายในการจัดการเรียนรู้อย่างเหมาะสม มีประโยชน์ต่อผู้เรียน
ดังนี้
1. ใช้กระบวนการคิดมากขึ้นรวมทั้งได้ฝึกกระบวนการคิดระดับสูง
2. เข้าใจสาระ องค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์มากขึ้น
3. มีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมอย่างทั่วถึงและเท่าเทียมกัน
4. ได้งานที่มีคุณภาพมากขึ้น
5. เรียนอย่างสนุกสนาน เกิดแรงบันดาลใจในการศึกษา ค้นคว้าหาความรู้เพิ่มเติม
กลวิธีการสอนที่เหมาะกับวิทยาศาสตร์บางกลวิธีสามารถนำไปใช้ในกิจกรรมการเรียนการสอน ดังต่อไปนี้
1. การเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจ ( Cooperative Learning )
2. คิดเดี่ยว : คิดคู่ : แลกเปลี่ยนความคิด ( Think Pair Share )
3. จิ๊กซอว์ ( Jigsaw )
4. สร้างผลสัมฤทธิ์ของทีม ( Student Teams Achievement Division : STAD )
5. วงแหวนชาวประมง ( Fisherman’s ring )
6. การจัดระบบความคิดโดยใช้แผนผัง ( Graphic Organizer )
7. เดินชมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ( Gallery Walk )
8. ม้าหมุน ( Carousel )
9. ทำนาย : สังเกต : อธิบาย ( Predict Observe Explain : P O E )
10. รู้แล้ว : อยากรู้ : เรียนรู้ ( Knowledge Want to know Learning : K W L )
11. ตั๋วออก ( Exit ticket )
12. การระดมความคิด ( Brainstorming )
13. การอ่านและการเขียนอย่างมีศักยภาพ ( Active reading & Wrtiting )
14. บทบาทสมมติ ( Role play )
15. สถานการณ์จำลอง ( Simulation )
16. เกม ( game )
ขอนำเสนอตัวอย่างกลวิธีการสอนที่นำไปใช้สอนดังต่อไปนี้
กลวิธี คิดเดี่ยว : คิดคู่ : แลกเปลี่ยนความคิด
( Think – Pair – Share )
แนวคิด
กลวิธี คิดเดี่ยว : คิดคู่ : แลกเปลี่ยนความคิดเป็นกลวิธีหนึ่งของการจัดการเรียนรู้แบบร่วมมือร่วมใจ ( Cooperation Learning ) มีวัตถุประสงค์ให้ทุกคนมีส่วนร่วมในการคิด โดยให้นักเรียนฝึกกระบวนการคิดด้วยตนเอง แล้วแลกเปลี่ยนความคิดกับเพื่อนเป็นคู่ แบ่งปันในกลุ่มของตัว และนำมาแบ่งปันให้เกิดการเรียนรู้ในกลุ่มใหญ่ โดยเริ่มจากให้นักเรียนคิดเป็นรายบุคคล แล้วนักเรียนจับคู่กันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นของกันและกัน ต่อไปอาจขยายขนาดกลุ่มโดยการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพิ่มขึ้นทีละคู่ ตอนสุดท้ายจะต้องให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นร่วมกันทั้งห้องเรียน กลวิธีนี้ใช้เมื่อต้องการให้นักเรียนฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ คิดสังเคราะห์ คิดอย่างมีเหตุผล ฝึกทักษะการสื่อสารการแสดงออกและการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
วิธีการ
กลวิธี Think – Pair – Share ควรใช้ตอนเริ่มต้นบทเรียนเพื่อดึงความรู้เดิมของนักเรียนใช้ หลังจากนักเรียนได้ข้อมูลจากการสำรวจตรวจสอบแล้ว ตอนวิเคราะห์ข้อมูลและนำเสนอข้อมูล และใช้ในตอนสรุปบทเรียน มีขั้นตอนในการดำเนินการ ดังนี้
1. ให้นักเรียนแต่ละคนคิดในประเด็นที่ครูกำหนดให้ บันทึกไว้
2. ให้นักเรียนจับคู่กับเพื่อนช่วยกันคิด บันทึกไว้
3. ให้นักเรียน 2 คู่ ( 4 คน ) รวมเป็นกลุ่ม ร่วมกันคิด แบ่งปันและแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่ม
4. ร่วมกัน อภิปราย สรุปความคิดเห็นของทั้งชั้นเรียน
กลวิธี ม้าหมุน ( Carousel )
แนวคิด
กลวิธีม้าหมุนหรือ Carousel เป็นกลวิธีที่กระตุ้นให้นักเรียนแสดงความคิดเห็นต่อประเด็นหรือหัวข้อที่นักเรียนแต่ละกลุ่มได้รับไป เขียนบนกระดาษติดไว้บันผนังห้อง แล้วให้นักเรียนกลุ่มอื่น ๆ เวียนแสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม หลังจากนั้นเจ้าของกลุ่มกลับไปพิจารณาความคิดของกลุ่มและที่เพื่อนมาเพิ่มเติมเพื่ออภิปราย สรุปความคิดเห็นของกลุ่ม และนำเสนอต่อชั้นเรียน และครูนำอภิปรายเพิ่มเติมเหมาะสำหรับการฝึกทักษะการศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล ทักษะการลงความคิดเห็นจากข้อมูล การแสดงออกและการยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น
วิธีการ
1. ครูกำหนดประเด็นคำถามที่แตกต่างกันเท่ากับจำนวนกลุ่มนักเรียน นำไปติดบอร์ดหรือฝาผนังให้ระยะห่างกันพอสมควร
2. แจกปากกาสีต่างกันให้แต่ละกลุ่ม
3. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มยืนที่ประเด็นคำถามแรกและระดมความคิดเขียนลงบนกระดาษนั้น
4. เมื่อครูให้สัญญาณ ทุกกลุ่มเดินทิศทางตามเข็มนาฬิกาไปยังประเด็นถัดไป แล้วอ่านศึกษาข้อมูล วิเคราะห์ อภิปรายผลงานของกลุ่มอื่นที่เขียนไว้ และทำเครื่องหมายถูกในหัวข้อแนวความคิดที่กลุ่มเห็นด้วย รวมทั้งเพิ่มเติมข้อคิดเห็นและประเด็นต่าง ๆ จนครบทุกกลุ่ม
5. ตัวแทนกลุ่มนำเสนอผลการระดมความคิดประเด็นสุดท้ายที่กลุ่มศึกษา
6. ทุกคนร่วมอภิปรายและสรุปแต่ละประเด็นโดยครูเป็นผู้นำการอภิปรายและใช้คำถามให้เกิดการเรียนรู้ร่วมกัน และสรุปผลการอภิปรายของทั้งห้อง
กลวิธี วงแหวนชาวประมง ( Fisherman’s Ring )
แนวคิด
กลวิธีวงแหวนชาวประมงเป็นกลวิธีฝึกให้นักเรียนพูดสื่อสารและแสดงความคิดเห็นอย่างทั่วถึง ในประเด็นปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับสังคม โดยผลัดเปลี่ยนกันในวงเพื่อพูดข้อดีและข้อเสียของประเด็นนั้น
วิธีการ
ครูเลือกประเด็นปัญหาทางวิทยาศาสตร์ที่กำลังเป็นที่สนใจของประชาชน ให้ข้อมูลทั้งข้อดีและข้อเสีย หรืออาจกำหนดประเด็นให้นักเรียนสืบค้นข้อมูล ให้นักเรียนศึกษาข้อมูล และใช้กิจกรรมวงแหวนชาวประมงเป็นสื่อในการทำให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ ฝึกกระบวนการคิดและสื่อสารความรู้ไปยังผู้อื่น มีขั้นตอนดำเนินการดังนี้
1. กำหนดประเด็นที่จะศึกษา ควรเป็นประเด็นวิทยาศาสตร์ที่มีความขัดแย้งกันในสังคมขณะนั้น และกำลังอยู่ในความสนใจของนักเรียนหรือประชาชน
2. เตรียมใบกิจกรรม ซึ่งควรประกอบด้วยหัวเรื่องต่อไปนี้
§ ชื่อเรื่อง
§ จุดประสงค์
§ วิธีดำเนินกิจกรรม
§ ใบความรู้ ซึ่งเน้นมุมมองทั้ง 2 ด้าน ทั้งด้านดีและด้านเสีย
3. เตรียมวิธีการประเมินผล
4. เตรียมสถานที่จัดกิจกรรม โดยจัดหาสถานที่ที่เป็นห้องโล่งหรือลานกว้างพอสำหรับจัด
นักเรียนยืนเป็นวงกลม 2 วง และเคลื่อนไหวได้สะดวก
5. เริ่มทำกิจกรรมโดยแจกใบกิจกรรมให้นักเรียนทุกคนศึกษา
6. จัดกิจกรรมวงแหวนชาวประมงเพื่อให้นักเรียนสะท้อนข้อดีและข้อเสียของประเด็นที่ศึกษา โดยดำเนินการดังนี้
6.1 ครูชี้แจงขั้นตอนการทำกิจกรรม
6.2 ครูให้นักเรียนยืนเป็น 2 วง ให้เท่ากัน วงละไม่ควรเกิน 10 คน และแต่ละคู่หันหน้าเข้าหากัน ครูส่งสัญญาณให้นักเรียนผลัดเปลี่ยนคู่กันสะท้อนข้อดีและข้อเสีย โดยการเปลี่ยนคู่อาจให้นักเรียนเดินสวนทางกันไปหาคู่ใหม่
7. ร่วมกันอภิปรายทั้งชั้นเพื่อสรุปเป็นความคิดของห้อง
กลวิธี ทำนาย : สังเกต : อธิบาย ( Predict Observe Explain : P O E )
แนวคิด
กลวิธี ทำนาย : สังเกต : อธิบาย หรือ POE มาจากคำเต็ม Predict Observe Explain เป็นกลวิธีที่ให้นักเรียนเรียนรู้จากการทำนาย ( Predict ) การสังเกต ( Observe ) และการอธิบาย ( Explain ) ใช้เพื่อกระตุ้นให้นักเรียนสนใจ มุ่งมั่นในการทดลองโดยให้นักเรียนทำนายผลที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้าก่อนลงมือทำกิจกรรมเพื่อให้นักเรียนสังเกตอย่างจดจ่อ ละเอียด รอบคอบ นำผลที่ได้จากการสังเกตมาอธิบายและเปรียบเทียบกับสิ่งที่ทำนายไว้ นักเรียนจะรู้สึกสนุกสนานและในช่วงที่ทำกิจกรรมหรือทำการทดลองแล้วท้าทายในการค้นหาความรู้เพื่อตรวจสอบผลการทำนายของตนเอง
วิธีการ
มี 3 ขั้นตอน คือ
1. ขั้นทำนาย ( Predict ) ครูใช้คำถามกระตุ้นให้นักเรียนแต่ละกลุ่ม / คนทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นจากการสาธิตการทดลองหรือปัญหาที่กำหนด
2. ขั้นสังเกต ( Observe ) ครูให้นักเรียนทำการทดลอง สังเกต บันทึกผล เพื่อศึกษาว่าผลที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร และเป็นไปตามที่ทำนายไว้หรือไม่
3. ขั้นอธิบาย ( Explain ) ให้นักเรียนอธิบายผลที่เกิดจริง ซึ่งผลเกิดขึ้นจริงอาจตรงกับที่ทำนายไว้ทั้งหมด หรือบางส่วน ครูให้นักเรียนวิเคราะห์หาสาเหตุ และสรุป
กลวิธี รู้แล้ว :อยากรู้ : เรียนรู้ ( Knowledge Want to know Learning : KWL )
แนวคิด
กลวิธี รู้แล้ว :อยากรู้ : เรียนรู้ หรือ K W L เป็นกลวิธีการเรียนรู้สิ่งใหม่จากการเชื่อมโยงจากสิ่งที่นักเรียนได้เรียนรู้แล้ว หรือพื้นความรู้เดิมกับสิ่งที่ต้องการเรียนรู้เพิ่มเติม และให้นักเรียนอธิบายความรู้ใหม่ หรือ สิ่งที่ได้จากการเรียนรู้แต่ละตัวอักษรของ K W L มาจากความหมายดังนี้
K: What we know
W: What we want to know
L: What we learned
กลวิธี K W L ใช้เพื่อดึงความรู้เดิมของนักเรียนและสิ่งที่นักเรียนอยากรู้เกี่ยวกับสิ่งที่เรียน จะทำให้รู้ว่านักเรียนรู้อะไรมาบ้างและมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนอะไรบ้าง และจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สนองความต้องการของนักเรียนมากที่สุด ทั้งนี้เรื่องที่นักเรียนอยากรู้อาจจะจัดให้ไม่ได้ทันทีแต่อาจจัดการเรียนรู้โดยวิธีอื่นหลังจากนั้น
การนำไปใช้
1. เมื่อเริ่มการเรียนการสอนเรื่องใด เรื่องหนึ่ง ให้นักเรียนแต่ละคนเขียนในสิ่งที่เรียนรู้แล้วในเรื่องนั้นลงในกระดาษ นำไปติดบริเวณที่กำหนด
2. นักเรียนเขียนสิ่งที่อยากรู้ลงในกระดาษอีกแผ่น ว่ามีอะไรบ้างที่อยากเรียนเกี่ยวกับเรื่องที่ครูจะสอน แล้วนำไปติดบริเวณที่กำหนด
3. ครูให้นักเรียนทำกิจกรรมการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับจุดประสงค์การเรียนรู้และความต้องการของนักเรียน โดยครูต้องเชื่อมโยงกิจกรรมที่เตรียมไว้กับสิ่งที่นักเรียนอยากรู้มากที่สุด
4. หลังจากจบบทเรียน ให้ทุกคนเขียนว่าได้เรียนรู้อะไรลงในกระดาษและตรวจสอบกับความรู้เดิมว่านักเรียนรู้อะไรเพิ่มขึ้น รู้อะไรคลาดเคลื่อน มีอะไรที่ครูยังไม่จัดให้
5. ครูให้นักเรียนทำกิจกรรมเพิ่มเติมในประเด็นที่นักเรียนยังไม่ได้เรียนรู้ เช่น สืบค้นข้อมูล ทำโครงงานวิทยาศาสตร์
กลวิธี การจัดระบบความคิดโดยใช้แผนผัง ( Graphic Organizer )
แนวคิด
กลวิธีการจัดระบบความคิดโดยใช้แผนผังหรือ Graphic Organizer ใช้เพื่อประเมินความเข้าใจ ความถูกต้องของเนื้อหาสาระจากการเรียนรู้ ช่วยฝึกและเพื่อพัฒนากระบวนการคิด
มีหลากหลายรูปแบบ เช่น แผนผังความคิดหลัก ( Concept map ) แผนผังเวนน์ ( Vann diagram ) แผนผังก้างปลา ( fish bone ) และแผนผังความคิด ( Mind map ) เป็นต้น แต่ละรูปแบบของการจัดระบบความคิดจะมีลักษณะเฉพาะ ดังตัวอย่าง เช่น
แผนผังความคิดหลัก ( Concept Map )
กลวิธี แผนผังความคิดหลัก หรือ Concept Map เป็นเครื่องมือที่ใช้ตรวจสอบความคิดหลักของนักเรียนก่อนเรียนหรือประเมินนักเรียนที่หลังจากการทำกิจกรรมต่าง ๆ แล้ว นักเรียนได้เรียนรู้อะไรบ้าง เข้าใจเนื้อหาถูกต้องหรือไม่ เป็นแผนภาพที่เขียนแสดงการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างความคิดหลักหรือมโนทัศน์ ( Concept ) ต่าง ๆ โดยใช้คำเชื่อมอย่างมีลำดับและเป็นระบบเริ่มจากความคิดหลักที่กว้างไป แคบไปหรือเฉพาะเจาะจงทำให้เห็นความสัมพันธ์ต่าง ๆ อย่างครอบคลุม เข้าใจเนื้อหาดีขึ้น ให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ถูกต้อง และครอบคลุม เป็นการฝึกคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และสร้างสรรค์
1. กำหนดเรื่องหรือหัวเรื่องที่จะจัดกิจกรรม
2. ให้นักเรียนทำกิจกรรมก่อนเขียนแผนผังความคิดหลักหรือหลังจากทำกิจกรรม แต่ละ
กลุ่มระดมความคิด และสรุปผลกิจกรรมโดยเขียนแผนผังความคิดหลัก ซึ่งครูควรทบทวนหรืออธิบายวิธีการเขียนแผนผังความคิดหลักก่อนให้นักเรียนเขียน
3. แต่ละกลุ่มนำเสนอแผนผังความคิดหลัก
4. ร่วมกันอภิปราย และสรุปแผนผังความคิดหลัก
แผนผังเวนน์ ( Venn Diagram )
เป็นกลวิธีที่ฝึกการคิดวิเคราะห์เพื่อเปรียบเทียบของ 2 สิ่งหรือมากกว่าว่ามีอะไร ที่เหมือนกัน และมีอะไรที่แตกต่างกัน โดยเขียนลงในแผนผังเวนน์ ซึ่งประกอบด้วยวงกลมจำนวนเท่ากับสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบเขียนซ้อนทับกันบางส่วน ส่วนที่ซ้อนทับเขียนแสดงลักษณะที่เหมือนกัน บริเวณนอกเหนือส่วนที่ซ้อนกันอยู่เขียนแสดงลักษณะที่แตกต่างกัน
1. ครูกำหนดเรื่อง / หัวข้อทำกิจกรรมที่สามารถแยกความแตกต่างออกจากกันได้
2. ครูจัดทำใบความรู้หรือใบกิจกรรมหรือแหล่งเรียนรู้ในหัวข้อที่กำหนด เพื่อเป็นข้อมูล
สำหรับการเขียนแผนผังเวนน์
3. นักเรียนแต่ละคนศึกษาหรือสืบค้นข้อมูล
4. นักเรียนวิเคราะห์สิ่งที่เหมือนกันและสิ่งที่แตกต่างกันเขียนลงในแผนผังเวนน์
5. ครูสุ่มนักเรียนนำเสนอแผนผังเวนน์
6. ครูนำอภิปรายทั้งชั้นเรียนเพื่อสรุปแผนผังเวนน์ที่ถูกต้อง
หมายเหตุ : แผนผังเวนน์อาจแสดงแผนภาพด้วยวงกลมมากกว่า 2 วงซ้อนกันหรือวงกลม
เล็กซ้อนอยู่ในวงกลมใหญ่ก็ได้
แผนผังความคิด ( Mind map )
กลวิธี ตั๋วออก(Exit Ticket)
แนวคิด
กลวิธีตั๋วออกหรือ Exit Ticket เป็นกลวิธีที่ให้นักเรียนทำกิจกรรมก่อนออกจากห้องเรียน โดยหลังจากจบบทเรียนแต่ละครั้ง อาจให้นักเรียนทำงาน เช่น แบบฝึก รายงานการทดลอง เขียนอนุทิน เพื่อบอกถึงสิ่งที่เข้าใจ และสิ่งที่ได้รับจากการเรียนรู้ ( Got ) และให้นักเรียนเขียนในสิ่งที่ต้องการเรียนรู้ ( ) ครูจะต้องนำงานของนักเรียนมาวิเคราะห์เพื่อทราบว่านักเรียนเข้าใจสิ่งที่ครูสอนแค่ไหน ยังไม่เข้าใจอะไร และอยากรู้อะไรเพิ่มเติม และให้ข้อมูลย้อนกลับแก่นักเรียนในการเรียนการสอนครั้งต่อไป
วิธีการ
กลวิธีนี้ใช้ตอนท้ายชั่วโมงของการสอนซึ่งจะช่วยประเมินผลการเรียนการสอนของครู และฝึกให้นักเรียนสรุปความรู้ โดย ให้นักเรียนแต่ละคนเขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้ ได้เข้าใจในบทเรียนวันนี้และเขียนสิ่งที่อยากรู้ลงในกระดาษ มีอะไรบ้างที่อยากเรียน โดยมีขั้นตอนในการดำเนินการดังนี้
1. ให้นักเรียนเขียนสิ่งที่ได้เรียนรู้และเข้าใจในบทเรียน ซึ่งอาจเขียนได้ในหลายรูปแบบ เช่น อนุทิน แผนผังความคิด แผนภาพ ความเรียงลงในบัตร หรือ กระดาษสี
2. เขียนสิ่งที่อยากรู้ลงในกระดาษ มีอะไรบ้างที่อยากเรียนลงในบัตร หรือกระดาษสี
3. นำสิ่งที่เขียนไปติดไว้ที่บอร์ด
กลวิธี เกม (Game)
แนวคิด
เกมเป็นกลวีธีที่เหมาะสำหรับเสริมการเรียนวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะในเด็กเล็ก เนื่องจากทำให้นักเรียนได้รับความสนุกสนานและได้เรียนรู้ในบรรยากาศที่ผ่อนคลาย นอกจากนั้นไม่ว่านักเรียนจะเรียนเก่ง หรือเรียนอ่อนต่างก็ชอบการเล่นเกมด้วยกันทั้งสิ้น จึงช่วยแก้ปัญหาการขาดความเอาใจใส่ในการเรียนได้อีกทางหนึ่งด้วย
เกมที่นำมาประยุกต์ในการเรียนการสอน ควรเป็นเกมที่นักเรียนคุ้นเคย รู้กติกาค่อนข้างดี วิธีการเล่นไม่ซับซ้อน และผลิตง่าย เกมมีหลายประเภท เช่น
1. โดมิโน ( Dominoes)
2. เกมบัตร( Card Game)
3. เกมกระดาน ( Board Game)
4. เกมปริศนาคำ (Puzzles)
5. เกมทายปัญหา (Quizzes)
โดมิโน
เป็นเกมที่เล่นโดยนำชิ้นส่วนสี่เหลี่ยมซึ่งเรียกว่าแผ่นโดมิโนมาต่อเข้าคู่กันตามกติกาที่กำหนดเช่นประเภทของสัตว์ – ชื่อสัตว์ อาณาจักรพืช – ชื่อพืช จำนวนตัวเลขที่บวกกันแล้วเท่ากับสิบเป็นต้น เกมโดมิโนเหมาะสำหรับการจัดจำแนกประเภท ที่เกี่ยวข้องกันไม่เกิน 3 กลุ่ม เช่นประเภทธาตุ – สัญลักษณ์ธาตุ – ชื่อธาตุ เมื่อต่อแผ่นโดมิโนได้ถูกต้อง ผู้เล่นจะได้คะแนนเท่ากับจำนวนจุดที่อยู่บนแผ่นโดมิโน ครูสามารถกำหนดกติกา การคิดคะแนน เช่น ถ้าแผ่นโดมิโนที่ต่อกันถูกต้องและมีจำนวนจุดของคะแนนเท่ากัน ผู้เล่นจะได้คะแนน 2 หรือ 3 เท่า ของผลรวมของจำนวนจุด
เกมบัตร
เป็นเกมที่เล่นโดยใช้บัตร อาจเป็นการจับคู่บัตร หรือจัดบัตรเข้าพวก ตามกติกาที่กำหนด บางเกมอาจใช้กติกาของการเล่นรัมมี่ หรือการเล่น “ผสมสิบ” เกมบัตรเหมาะสำหรับการจัดกลุ่ม จัดประเภทของสิ่งที่แสดงบนบัตร
เกมกระดาน
เป็นเกมที่ผู้เล่นเดินตัวหมากไปตามช่องบนกระดาน จำนวนช่องที่เดินเท่ากับจำนวนเต็มที่ได้จากการทอดลูกเต๋า เช่นเกมบันได้งู เกมเศรษฐี เกมไต่บันได ในช่องที่เดินควรใส่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ให้ผู้ที่เดินไปถึงช่องนั้นอ่านให้เพื่อฟัง หรือใส่สิ่งที่ผู้เล่นจะต้องปฏิบัติ เช่นให้หยิบบัตรคำถาม ถ้าตอบคำถามได้จึงจะได้เล่นต่อไปเป็นต้น
เกมปริศนาคำ
เป็นเกมที่ทายคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์ มีหลายลักษณะเช่นเกมอักษรไขว้( Crossword )
อักษรสลับ ( Anagrams ) เกมค้นหาคำ ( Wordsearches ) เหมาะสำหรับใช้เรียนรู้ หรือทบทวนความหมาย หรือ มโนทัศน์ของคำศัพท์ทางวิทยาศาสตร์
เกมทายปัญหา
เป็นเกมที่ใช้ทายปัญหาทางวิทยาศาสตร์ รูปแบบของเกมมีหลายแบบ อาจใช้รูปแบบของเกมทางทีวีซึ่งเป็นที่นิยม แล้วใช้คำถามที่เกี่ยวข้องเนื้อหาสาระทางวิทยาศาสตร์ เช่นเกม 20คำถาม
เกมเหล่านี้ครูสามารถผลิตเองได้ง่าย โดยใช้วัสดุประเภท กระดาษ ดินสอสี ปากกาสี หรือออกแบบในคอมพิวเตอร์และพิมพ์ออกมาให้มีสีสันสวยงาม ก็จะทำให้เกมมีรูปลักษณ์ที่น่าสนใจ
แต่ถ้าโรงเรียนมีความพร้อมทางด้านคอมพิวเตอร์ ก็สามารถใช้เกมคอมพิวเตอร์ซึ่งอาจผลิตขึ้นเอง หรืออาจจัดซื้อจากที่มีผู้จำหน่ายมาใช้ในการเรียนการสอน
กลวิธี เดินชมแลกเปลี่ยนเรียนรู้
( Gallery Walk )
แนวคิด
กลวิธีเดินชมแลกเปลี่ยนเรียนรู้หรือ Gallery Walk เป็นกลวิธีที่ให้ผู้เรียนนำเสนอผลงานของกลุ่มในการศึกษาเรื่องเดียวกัน ภายหลังจบบทเรียน ให้กลุ่มอื่นมาชมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงาน แสดงความคิดเห็น อภิปรายภายในกลุ่ม โดยเขียนเครื่องหมาย / หน้าข้อความที่มีความเห็นเหมือนกัน และเขียนความคิดเห็นที่แตกต่างกัน ถ้าไม่แน่ใจในประเด็นที่เพื่อนนำเสนอให้ใส่เครื่องหมายคำถามไว้ กลวิธีนี้ใช้เมื่อต้องการให้นักเรียนนำเสนอผลงาน โดยทุกคนมีส่วนร่วม กลวิธีนี้ช่วยฝึกทักษะการคิดวิเคราะห์ การตั้งคำถาม การตอบคำถาม การสื่อสารและการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
วิธีการ
1. แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ ละ 3 – 4 คน
2. ให้นักเรียนร่วมกันทำกิจกรรม อภิปราย และสรุปความคิดเห็นของกลุ่ม เขียนลงใน
กระดาษโปสเตอร์แล้วนำไปติดไว้ที่ผนัง ระยะห่างกันพอสมควร
3. แจกปากกาสีให้แต่ละกลุ่มอธิบายวิธีการเดินชมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ผลงานของกลุ่มอื่น
4. ให้นักเรียนแต่ละกลุ่มยืนตรงโปสเตอร์ของตนเอง
5. ให้สัญญาณให้นักเรียนแต่ละกลุ่มเดินไปหยุดที่โปสเตอร์ของกลุ่มถัดไป ศึกษาผลงาน
อภิปราย และสรุปความคิดเห็น ถ้าเห็นด้วยในประเด็นใดให้เขียนเครื่องหมาย / หน้าประเด็นนั้น ถ้าไม่เห็นด้วยในประเด็นใดให้เขียนความคิดเห็นของตนเองลงไป ถ้าไม่แน่ใจในประเด็นใดให้เขียนเครื่องหมายคำถาม
6. ให้นักเรียนทำกิจกรรมเช่นเดิมจนครบทุกโปสเตอร์ หรือ 2 – 3 โปสเตอร์ตามเวลาที่มี
7. นำอภิปรายทั้งชั้น โดยครู เพื่อสรุปความคิดเห็นของห้อง
รวมลิงค์บทความเกี่ยวกับเทคนิคการสอน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)