แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีววิทยา2 แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ชีววิทยา2 แสดงบทความทั้งหมด
วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
อวัยวะรับความรู้สึกลิ้นกับการรับรส
บทบาทที่สำคัญที่สุดของการลิ้มรสคือการควบคุมคุณภาพของอาหารของเรา ลิ้นเป็นอวัยวะที่ใช้ชิมรส การลิ้มรสมีความสำคัญทำให้คนได้รับประทานอาหารตามที่ต้องการ รสที่ขมมากจนทำให้คนหรือสัตว์คายอาหารทิ้งอาจเป็นสารพิษตามธรรมชาติเช่นสารอัลคาลอยด์ ความอร่อยของอาหารนั้นขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ระหว่าง รส และกลิ่น
ลิ้นเป็นอวัยวะในช่องปาก ทำหน้าที่ช่วยคลุกเคล้าอาหารและรับความรู้สึกเกี่ยวกับรสชาติของอาหาร ลิ้นจะมีผิวที่ไม่เรียบเสมอกันทั้งลิ้น ด้านบนของผิวลิ้นมีส่วนที่เป็นปุ่มเล็กๆนูนขึ้นมาเล็กน้อยจากพื้นลิ้นปุ่มนูนนี้เรียกว่าพาพิลลา ( papilla ) ในพาพิลลาประกอบด้วย ตุ่มรับรส ( Taste bud )หลายตุ่มทำหน้าที่รับรส ในตุ่มรับรสแต่ละตุ่ม ประกอบด้วยเซลล์รับรสเรียกว่า เซลล์รับรส ( taste cell หรือGustatory cell ) เป็นเซลล์ที่มีรูปร่างยาวปลายด้านบนมีขนเส้นเล็กๆใช้รับความรู้สึก ประมาณ 20 เซลล์โดยมีปลายเดนไดรต์ของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 และ 9 มาสัมผัสอยู่เพื่อนำกระแสประสาทไปแปลผลที่ศูนย์การรับรสในซีรีบรัม ปลาย 2/3 ของลิ้นจะรับรสและถูกส่งไปกับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ส่วนโคน 1/3 ของลิ้นจะรับรสและถูกส่งไปกับเส้นประสาทสมองคู่ที่ 9 ในตุ่มรับรสยังประกอบไปด้วยเซลล์อีกชนิดหนึ่ง ทำหน้าที่คล้ายกับเป็นเนื้อเยื่อเกี่ยวพันเรียกว่า supporting cell ตุ่มรับรสแต่ละตุ่มมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.3 ม.ม.สูง 0.6 ม.ม.ตุ่มรับรสมีรูปร่างหลายแบบ ส่วนใหญ่พบด้านหน้าและด้านข้างของลิ้น เซลล์รับรสจะมีอายุประมาณ 7 วัน การกินอาหารร้อนๆจะทำให้เซลล์รับรสตาย ลิ้นจะชา ไม่รู้รสไปหลายวัน ในคนอายุเกิน 45 ปีขึ้นไป ตุ่มรับรสจำนวนหนึ่งจะเสื่อมสลายไป ทำให้การรับรสด้อยลงไปเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้นตุ่มรับรสส่วนใหญ่พบที่ด้านหน้า และด้านข้างของลิ้น
การรับรสของต่อมรับรสรับได้ 5 รส คือ เปรี้ยว ,เค็ม,หวาน ขมและรสอูมามิ การที่เราสามารถรับรสได้มากกว่า5 รสนั้นเกิดจากส่วนผสมของรสทั้ง 5 รส ในสัดส่วนที่แตกต่างกัน ทำให้เกิดรสอีกมากมาย ส่วนเผ็ดไม่ใช่รสแต่เป็นการทำให้ระคายเคืองแก่เซลล์ รับรู้ด้วยการสัมผัส เช่นเดียวกับรับสัมผัสแล้วความรู้สึกว่าอาหารนั้นมัน หยาบ หรือละเอียด
ความรู้สึกพื้นฐานในการรับรส
1. รสเปรี้ยว เกิดจากความเป็นกรด
2. รสเค็ม เกิดจากโมเลกุลของเกลือที่มีไอออนบวก
3. รสหวาน เกิดจากสารเคมีบางชนิดที่ทำให้เกิดรสหวาน เช่นน้ำตาลคีโตน และ เอสเทอร์
4. รสขม เกิดจากสารอัลคาลอยด์ เช่นควินิน คาเฟอิน สติกนิน มีตุ่มรับรสมากอยู่ทีโคนลิ้น
5. รสอูมามิ รสอูมามิรสอูมามิเป็นรสที่ ได้จากกลูตาเมท (กรดอะมิโนที่ใช้ในการสังเคราะห์โปรตีน) และไรโบนิวคลีโอไทด์ (สารที่จำเป็นสำหรับการสังเคราะห์กรดนิวคลีอิก)จะรู้สึกถึงรสนี้ได้เมื่อเคี้ยวเนื้อ สเต็กที่สุกปานกลาง รสอูมามิเป็นรสที่บอกได้ว่าในอาหารมีโปรตีนมากหรือน้อย
ตุ่มรับรส 1 อันอาจมีเซลล์รับรสได้มากว่า 1 รส บางอันรับได้ถึง 5 รส แต่ตุ่มแต่ละอันจะมีความไวในการรับรสเพียง 1 หรือ 2 รสเท่านั้น และสารที่จะรับรสได้ดีต้องละลายในน้ำหรือน้ำลายได้ดี
อวัยวะรับความรู้สึกนัยน์ตากับการมองเห็น
นัยน์ตาและการมองเห็น
อวัยวะรับความรู้สึก (receptor) ในสัตว์ชั้นต่ำไม่สลับซับซ้อนเหมือนกับของสัตว์ชั้นสูงซึ่งมีส่วนประกอบที่ซับซ้อนและยังมีโครงสร้างที่ทำหน้าที่ป้องกันอันตรายได้ด้วย เช่นหู ,ลูกนัยน์ตา
อวัยวะที่ใช้รับสัมผัสของสัตว์ชั้นสูงเหมาะสำหรับใช้เพื่อการอยู่รอด โดยอวัยวะเหล่านี้ใช้เพื่อหาอาหาร , ใช้ป้องกันตัว ใช้เพื่อหนีศัตรู ดังนั้นเพื่อการอยู่รอด จึงต้องมีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงจนกระทั่งอวัยวะเหล่านั้นใช้การได้ดี และเหมาะสม เพื่อสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของ สภาพแวดล้อม เช่น ความดัน อุณหภูมิ แสงสว่าง
อวัยวะรับความรู้สึกแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆคือ
1.อวัยวะรับความรู้สึกพิเศษ ( Special sense organ ) ได้แก่อวัยวะรับความรู้สึกจากสารเคมี คือจมูก และลิ้น อวัยวะรับเสียงคือ หู และอวัยวะรับภาพคือตา
2. อวัยวะรับความรู้สึกทั่วไป ( General sense organ ) ได้แก่อวัยวะรับความรู้สึกทางผิวหนัง
ตาเป็นอวัยวะรับแสง ( photoreceptor) มีในสิ่งมีชีวิตตั้งแต่พวกโพรติสท์ จนถึงสัตว์มีกระดูกสันหลัง
สามารถตอบสนองต่อแสงสว่างได้ แต่มีบางชนิดเท่านั้นที่รับภาพได้ นัยน์ตาของสัตว์ชั้นสูงบางพวกรับภาพได้เพราะมีทั้งเลนส์และเรตินาสำหรับรับภาพ เช่นในแมลงจะเป็นตาประกอบ ส่วนในปลาหมึกจะมีเลนส์เป็นก้อนกลม .
นัยน์ตามนุษย์มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับกล้องถ่ายรูปโดยมีส่วนต่างๆเหมือนกันคือ เลนส์ทำหน้าที่รับแสง หากแสงเข้ามากไป ตาจะปรับม่านตา ( iris ) ให้ปล่อยแสงผ่านรูม่านตา ( pupil ) ให้น้อยลงเหมือนไดอะแฟรมของกล้องถ่ายรูป การที่จะให้ภาพตกลงบนเรตินาพอดี ตาจะเปลี่ยนรูปร่างของเลนส์ แต่กล้องถ่ายรูปจะเลื่อนระยะระหว่างเลนส์กับฟิล์ม ตัวกล้องถ่ายรูปทำหน้าที่เหมือนห้องมืดเหมือนกับในดวงตา
นัยน์ตาประกอบด้วยลูกตา (eye ball ) อยู่ภายในกระบอกตา มีกล้ามเนื้อลายควบคุมการเคลื่อนไหว 6 มัด ทำให้สามารถกรอกลูกตาไปมาได้มีส่วนประกอบที่ช่วยป้องกันอันตรายให้แก่ลูกนัยน์ตา เช่น คิ้ว และขนตาช่วยป้องกันฝุ่นละออง หนังตาบนและล่าง ป้องกันอันตรายแก่ลูกนัยน์ตา ต่อมน้ำตา (lacrimal gland ) ซึ่งอยู้บริเวณหางตาสร้างน้ำตามาหล่อเลี้ยงแก้วตาให้ชุ่มชื่น และรักษาแก้วตาให้สะอาดอยู่เสมอ น้ำตามีน้ำมันสำหรับเคลือบลูกนัยน์ตาและยังมีเอนไซม์ช่วยทำลายจุลินทรีย์ น้ำตาจะถูกระบายทิ้งออกไปทางท่อ บริเวณหัวตานำน้ำตาไประบายออกทางโพรงจมูกและส่งต่อไปบริเวณคอหอย
ลูกตาด้านข้างถ้าผ่าออกดูจะพบว่าประกอบด้วยเยื่อ เรียงตัว 3 ชั้นคือ
1. ชั้นสเคลอรา (sclera )
2. ชั้นคอรอยด์ (choroid )
3. ชั้นเรตินา (retina )
เยื่อชั้นสเคลอรา ( sclera ) เป็นเยื่อชั้นนอกสุดประกอบไปด้วยเยื่อที่มีลักษณะเหนียวและหนาไม่ยืดหยุ่นส่วนใหญ่มีสีขาวได้แก่ส่วนที่เป็นตาขาว สเคลอราส่วนที่อยู่ด้านในมีช่องทางเข้าของเส้นประสาทและเส้นเลือด เยื่อชั้นสเคลอราทำหน้าที่ป้องกันอันตรายให้แก่ลูกนัยน์ตายกเว้นบางส่วนที่มีลักษณะเป็นแผ่นใสคลุมส่วนของตาดำมีขนาดเพียง 1 ใน 6 ของลูกตาทั้งหมด ส่วนนี้เรียกว่า คอร์เนีย (cornea) หรือกระจกตา ส่วนนี้จะมีความชุ่มชื้นหล่อลื่นอยู่เสมอและให้แสงผ่านเข้าไปด้านในของตาได้ กระจกตามีความสำคัญมากถ้าพิการสามารถเปลี่ยนกระจกตาได้โดยนำของคนที่ตายใหม่ๆมาเปลี่ยนกันได้ สเคลอราส่วนที่อยู่ด้านในเป็นทางเข้าของเส้นประสาทและหลอดเลือด ด้านหลังของสเคลอรามีกล้ามเนื้อลายมายึด 6 มัดกล้ามเนื้อเหล่านี้ถูกควบคุมด้วยเส้นประสาทสมองคู่ที่ 3,4 และ 6 มีผลทำให้นัยน์ตาสามารถเคลื่อนไหวหรือกลอกตาไปมาได้
เยื่อชั้นคอรอยด์ ( choroid ) เป็นเยื่อชั้นที่อยู่กลางมีลักษณะเป็นเยื่อบางๆเส้นเลือดฝอยมาหล่อเลี้ยง โดยผ่านเข้ามาทางด้านหลังของสเคลอราเพื่อนำอาหารมาเลี้ยงยังด้านในของตา ผนังชั้นนี้ส่วนที่อยู่ติดกับเรตินามีรงควัตถุสะสมอยู่มาก ทำหน้าที่เป็นฉากกั้นแสงที่ผ่านกระจกตาเข้ามาไม่ให้ผ่านไปถึงคอรอยด์ด้านในลักษณะเช่นนี้ส่งผลให้เซลล์รับแสงในชั้นเรตินาสามารถรับแสงได้อย่างเต็มที่ ทางส่วนด้านหน้ามีส่วนหนาเป็นกล้ามเนื้อเรียบ เรียกว่า ซิลิอารี บอดี ( ciliary body ) มีหน้าที่ปรับความโค้งของเลนส์ให้สามารถรับภาพเมื่อรับภาพในระยะต่างๆได้อย่างเหมาะสม ถัดจากกล้ามเนื้อซิลิอารีออกไปทางด้านใกล้กับคอร์เนียมีกล้ามเนื้อยื่นมาจากด้านบนและด้านล่างคล้ายกับเป็นผนังกั้นบางส่วนของเลนส์เรียกว่าม่านตา ( iris ) ซึ่งเป็นกล้ามเนื้อเรียบ ทำหน้าที่คอยควบคุมปริมาณแสงที่จะเข้าสู่ด้านในของตาให้พอเหมาะ ช่องตรงกลางระหว่างม่านตาเรียกว่ารูม่านตา (pupil ) ความกว้างของช่องนี้จะเปลี่ยนขนาดตามความเข้มของแสง ถ้าอยู่ในที่มืดรูม่านตาจะขยายใหญ่เพื่อให้แสงผ่านเข้าได้มาก แต่ถ้าอยู่ในที่มีแสงสว่างมากรูม่านตาจะหรี่เล็กลงแคบเข้า เพื่อป้องกันมิให้แสงเข้าสู่ตามากเกินไป ม่านตานี้จะมีสีของรงควัตถุเดียวกับที่พบในชั้นคอรอยด์ ม่านตาคนเอเชียจะมีเมาลานินอยู่มาก ทำให้เรามองเห็นนัยน์ตามีสีดำ ส่วนผู้ที่มีนัยน์ตาสีฟ้านั้นมีรงควัตถุพวกกวานินปนอยู่กับเมลานิน ส่วนคนเผือกเป็นคนที่ไม่มีรงควัตถุที่ม่านตา ทำให้มองเห็นหลอดเลือดได้ชัดเจนดังนั้นจึงมองเห็นม่านตามีสีแดง
เยื่อชั้นเรตินา ( retina ) เป็นเยื่อที่อยู่ชั้นในสุดของลูกตา แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
ก. ชั้นสี ( pigment layer ) ชั้นนี้มีรงควัตถุเช่นเดียวกับชั้นคอรอยด์ทำหน้าที่คอยป้องกันแสงที่ผ่านเข้ามาถึงแม้จะมีม่านตาคอยกรองแสงแต่ถ้าแสงผ่านเข้ามาจ้ารงควัตถุจะเข้าห้อมล้อมเซลล์รับแสงทั้งรูปแท่งและรูปกรวยแต่ถ้าแสงผ่านเข้าน้อยรงควัตถุจะกระจายออกไป
ข. ชั้นเส้นประสาท ( nervous layer )ชั้นนี้เป็นชั้นที่รับภาพเนื่องจากมีเซลล์รับแสง 2 ชนิด คือ
เซลล์รูปแท่ง (rod cell ) มีลักษณะเป็นรูปแท่งทรงกระบอกกระจายอยู่ทางด้านหน้าของเรตินามากกว่าทางด้านหลัง เรตินาแต่ละข้างจะมีเซลล์รูปแท่งประมาณ 125 – 130 ล้านเซลล์ เซลล์ชนิดนี้มีความไวในการรับแสงมากแม้จะอยู่ในที่มีแสงน้อยหรือในที่ สลัวๆ แต่ภาพที่เห็นจะเป็นภาพขาวดำ สัตว์ที่หากินกลางคืนจะมีเซลล์รูปแท่งมากกว่าเซลล์รูปกรวย
เซลล์รูปกรวย ( cone cell )มีลักษณะเป็นรูปกรวยกระจายอยู่มากทางด้านหลังของเรตินา เรตินาแต่ละข้างจะมีเซลล์รูปกรวยประมาณ 7 ล้านเซลล์ เป็นเซลล์ที่สามารถรับสีได้ แต่เซลล์ชนิดนี้จะทำงานได้ดีต้องอยู่ใน ที่มีแสงมากเท่านั้น
เซลล์รูปกรวยมี 3 ชนิดตามความสามารถในการรับแสง คือ รับแสงสีแดง สีเขียว และสีแดง การที่เรา สามารถเห็นแสงสีได้มากกว่า 3 สีก็เนื่องจากเซลล์รูปกรวยถูกกระตุ้นพร้อมกันทำให้เกิดแสงสีต่างๆขึ้นเช่นกระตุ้นเซลล์รูปกรวยที่รับแสงสีแดงกับเขียวพร้อมๆกันในความเข้มของแสงเท่ากันจะเห็นเป็นสีเหลือง
นัยน์ตายังมีส่วนประกอบอื่นๆที่สำคัญได้แก่ เลนส์ตา หรือแก้วตา ( lens ) อยู่ถัดจากชั้นคอร์เนียและม่านตาเข้าไปจะมีลักษณะเป็นเซลล์ใสอยู่ภายในปลอกเยื่อบางๆเลนส์ไม่มีเส้นเลือดมาหล่อเลี้ยงแต่ได้รับอาหารจากของเหลวที่เรียกว่าน้ำเลี้ยงลูกตาน้ำเลี้ยงลูกตาที่อยู่ด้านหน้าเลนส์ทมีลักษณะเป็นของเหลวใสเรียกว่า เอเควียส ฮิวเมอร์ (Aquesous humor)เลนส์ตาจะแบ่งช่องว่างออกเป็น 2 ส่วนคือ ช่องว่างหน้าเลนส์ คือส่วนที่อยู่ด้านนอกใกล้คอร์เนียและช่องว่างหลังเลนส์ที่มีขนาดใหญ่กว่าตอนหน้า ด้านหลังเลนส์มีของเหลวที่มีลักษณะเป็นเมือกใสและมีสารซึ่งมีดัชนีหักเหของแสงสูงมากเรียกว่าวิเทรียส ฮิวเมอร์ (Vitreous humor)ของเหลวเหล่านี้จะมีโปรตีนและกลูโคสต่ำ แต่มีโซเดียม และคลอไรด์สูงกว่าเลือด ของเหลวนี้มีการสร้างตลอดเวลาจึงมีการไหลเวียนออกอยู่ตลอดเวลาเพื่อทำให้ค่าความดันลูกตาในช่องหน้าเลนส์ คงที่ นอกจากนี้ของเหลวนี้ยังช่วยให้ตาคงรูปร่างเป็นทรงกลมและช่วยในการหักเหแสง
เลนส์ตาเป็นเลนส์นูน สามารถยืดหดหรือปรับผิวโค้งของเลนส์ได้ โดยการควบคุมของกล้ามเนื้อรอบเลนส์ตา(ciliary ) และเอ็นยึดเลนส์ตา ( suspensory ligament )
การยืดหดของเลนส์ทำให้ความโค้งเปลี่ยนแปลงเพื่อช่วยปรับจุดโฟกัสให้เหมาะสม คือเมื่อกล้ามเนื้อยึดเลนส์หดตัวทำให้เอ็นที่เชื่อมต่ออยู่กับกล้ามเนื้อหย่อน เลนส์จะโป่ง
จะลดระยะโฟกัสให้สั้นลงสามารถรับภาพที่อยู่ในระยะใกล้ได้ การปรับผิวของเลนส์ตาขณะมองภาพใกล้เลนส์นูนจะป่องออก แต่ถ้ากล้ามเนื้อคลายตัวจะทำให้เอ็นที่ติดกับกล้ามเนื้อตึง ก็จะไปดึงให้เลนส์แบนราบระยะโฟกัสอยู่ไกลจึงเหมาะกับมองภาพที่อยู่ไกลขณะที่มองภาพใกล เลนส์ตาจะแบนลง ในขณะที่มองภาพใกล้กล้ามเนื้อรอบเลนส์ตาจะหด ทำให้เอ็นยึดเลนส์คลายตัวเลนส์จะนูนป่องออกจะรับภาพได้ชัดเจน ถ้ามองวัตถุใกล้ๆนานเช่นเพ่งมองตัวหนังสือใกล้ๆนานๆจะรู้สึกปวดตา เนื่องจากกล้ามเนื้อตาหดตัวอยู่ตลอดเวลา
องค์ประกอบในการมองเห็นของนัยน์ตา มี 3 ส่วนคือ
1. ระบบเลนส์ ประกอบด้วยกระจกตา และเลนส์ ทำหน้าที่รวบรวม ( focus )แสงให้ตกบนจอรับภาพ
2. เซลล์รับแสงและเซลล์ประสาทอื่นๆซึ่งเรียงตัวกันเป็นชั้นๆในเรตินาทำหน้าที่เปลี่ยนพลังงานแสงให้เป็นกระแสประสาท
3. ระบบเส้นประสาท สำหรับส่งกระแสประสาทจากเรตินาไปยังสมองส่วน visual cortex
การเกิดภาพ
เมื่อแสงในช่วงที่ตาคนเห็นได้ในวัตถุจะผ่านกระจกตาและเลนส์ไปยังเรตินา เมื่อแสงผ่านเลนส์เข้าไปจะถูกเบนให้รวมจุดโฟกัส ในคนสายตาปกติจุดรวมแสงจะอยู่บนเรตินาเกิดเป็นภาพชัดเจน พลังงานของแสงจะกระตุ้นให้เซลล์รับแสงทั้งสองชนิดเกิดกระแสประสาทผ่านเส้นประสาทสมองเข้าสู่ visual cortex ภาพที่เกิดขึ้นเป็นภาพหัวกลับ แต่สมองแปลความรู้สึกว่าหัวตั้ง
การรับภาพกับสมอง เมื่อภาพตกลงบนเรตินาแล้วจะถูกเปลี่ยนไปเป็นกระแสประสาทส่งไปตามเส้นประสาทสมองคู่ที่ 2 ก่อนที่จะเข้าสู่สมองเส้นประสาทนี้จะไขว้กันตรงบริเวณที่เรียกว่า ออพติก ไคแอสมา ( Optic chiasma ) ภาพจากตาขวาจะถูกส่งเข้าสมองด้านซ้ายและในทางตรงกันข้ามภาพจากตาซ้ายถูกส่งเข้าสมองด้านขวา ส่วนของภาพที่ซ้อนกันเรียกว่าส่วนออพติก แอกซิส (optic axes)
การเห็นด้วยสองตา มีการรวมภาพที่เห็นในตาแต่ละข้างเข้าด้วยกัน และมีการแปลภาพของ visual cortex เป็นภาพเดียวทำให้มองเห็นเป็นภาพสามมิติ กะระยะทางของภาพได้แม่นยำเพิ่มบริเวณที่ตามองเห็นได้มากกว่าตาเดียวทำให้จุดบอดหายไป จุดที่ภาพจากตาทั้งสองไปรวมกันคือที่จุด correspond ถ้าภาพไม่ได้รวมกันที่จุดนี้ภาพที่ปรากฏจะเป็นภาพซ้อน
สรีรวิทยาของการมองเห็น
เยื่อหุ้มเซลล์ของเซลล์รูปแท่งมีรงควัตถุสีม่วงแดงเรียกว่าโรดอปซิน ( rhodopsin ) ประกอบด้วยโปรตีนชนิดหนึ่งชื่อออปซิน ( opsin )จับกับอนุพันธ์ของวิตามินเอ ที่เรียกว่าเรตินีน (retinene )ในรูปของ cis retinene รงควัตถุนี้คล้ายกับสารที่ฉาบไว้บนฟิล์มถ่ายรูปเมื่อมีแสงผ่านเข้ามากระตุ้นจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางเคมี กลายเป็น ออปซิน และเรตินีน และเกิดพลังงานในรูปกระแสไฟฟ้ากระตุ้นให้เกิดกระแสประสาทในรูปแท่งผ่านเซลล์ประสาทชั้นต่างๆในเรตินาผ่านเส้นประสาทออกไปยังสมองส่วนซีรีบรัม
ในกรณีที่ร่างกายขาดวิตามินเอ ซึ่งเป็นสารที่จำเป็นในการสังเคราะห์โรดอปซินขึ้นมาใหม่มีไม่เพียงพอทำให้การมองเห็นได้ในเวลาที่มีแสงสลัว หรือในที่มืดช้ากว่าปกติ เรียกว่าโรคตาบอดกลางคืน (night blindness)แต่ถ้ารับประทานอาหารที่มีวิตามินเออย่างเพียงพอ วิตามินเอ จะเปลี่ยนไปเป็นเรตินีน การรับภาพจะเกิดขึ้นได้ตามปกติ
การมองเห็นภาพสี เกิดจากการทำงานของเซลล์รูปกรวยมีการเปลี่ยนแปลงทางเคมีเช่นเดียวกับเซลล์รูปแท่ง แต่ต่างกันที่รงควัตถุที่ถูกกระตุ้นเป็นไอโอดอปซิน ( iodopsin )ซึ่งประกอบด้วย photopsin และ retinene และแสงที่จะกระตุ้นให้ไอโอดอปซินเกิดการแตกตัวเป็นโฟทอปซินและเรตินีน ต้องมีความเข้มสูง
ความผิดปกติของตาและการแก้ไข
1. สายตาสั้น ภาพเมื่อผ่านเลนส์ตาจะตกก่อนเรตินา เกิดจากลูกตายาวรีมากกว่าปกติ หรือเลนส์ตาโค้งมากไป แก้ไขได้โดยสวมแว่นที่ทำด้วยเลนส์เว้า
2.สายตายาว ภาพจะตกเลยเรตินาออกไป อาจเป็นเพราะลูกตาสั้นกว่าปกติหรือเลนส์ตาแบนไปเพราะกล้ามเนื้อรอบเลนส์ตาขาดประสิทธิภาพไม่บีบให้เลนส์ป่องออกมาได้มักพบในคนสูงอายุ การแก้ไข โดยการสวมแว่นที่ทำด้วยเลนส์นูน
3.สายตาเอียง เกิดจากผิวกระจกตาหรือเลนส์ตาโค้งไม่เท่ากันหรือไม่สม่ำเสมอกันทำให้แสงที่ผ่านผิวกระจกตา เกิดการหักเหไม่เท่ากันและทำให้ภาพไม่เป็นจุดชัดเจน หรืออาจเกิดจากผิดปกติที่เลนส์ การแก้ไข ใช้แว่นตาที่ทำด้วยเลนส์กาบกล้วย (cylind zical lens ) หรือเลนส์ทรงกระบอก ที่มีด้านหน้าเว้าด้านหลังนูนเพื่อให้แสงที่ตกผ่านแต่ละระบบมาโฟกัสที่จุดเดียวกัน
4. ตาเหล่ ตาเข เกิดจากกล้ามเนื้อภายนอกลูกตาทำงานไม่ประสานกัน เกิดจากการอ่อนแรงของ กล้ามเนื้อมัดใดมัดหนึ่งจะทำให้ภาพซ้อนกัน การแก้ไข ถ้าเป็นเด็กใช้วิธีการฝึกกล้ามเนื้อที่อ่อนแรง แต่ถ้าเป็นมากใช้วิธีผ่าตัดมัดกล้ามเนื้อที่หย่อน
5. การเห็นภาพไม่ชัด เนื่องจากรูม่านตาเปิดกว้าง แสงที่ผ่านเลนส์จึงโฟกัสที่จุดต่างๆกันจะเกิดสีรุ้งหลายสีขึ้น จึงทำให้เห็นภาพไม่ชัดเจนและเกิดสีพร่าขึ้น การแก้ไขโดยสวมแว่นดำและพยายามอย่ามองวัตถุในที่สว่างมากๆ หรือมีแดดจ้า หรืออาจให้ยาลดรูม่านตา
6. ตาบอดสี (color blindness )เกิดจากระบบการทำงานของเซลล์รูปกรวยในชั้นเรตินาผิดปกติไปจำแนกได้เป็นบอดเฉพาะสีเขียวกับสีแดง เรียกว่าตาบอดสีไม่สมบูรณ์ ยังมองเห็นสีที่เซลล์รูปกรวยทำงานได้
ส่วนอีกประเภทหนึ่งจะเห็นได้เฉพาะภาพขาวดำเท่านั้นเรียกว่าตาบอดสีอย่างสมบูรณ์ เพราะสมองส่วนที่ทำหน้าที่รับสีถูกทำลาย หรืออาจเกิดจากโรคบางชนิด
วันศุกร์ที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
อวัยวะรับความรู้สึกหูและการทำงาน
นักเรียนศึกษาคลิปวิดีการทำงานของหู แล้วจงอธิบายลำดับการเคลื่อนที่ของคลื่นเสียงที่ผ่านเข้าไปในหูจนถึงเส้นประสาทรับเสียง
หูและการทำงาน
ในสัตว์มีกระดูกสันหลัง หูทำหน้าที่ในการรับฟัง ( phononreceptor) และทำหน้าที่เกี่ยวกับ
การทรงตัว ( statoreceptor ) ส่วนในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอวัยวะในการรับฟังและทรงตัวอยู่คนละแห่ง
ในสัตว์พวกกบ คางคก จะมีช่องหูส่วนกลาง ด้านนอกของช่องหูส่วนนี้มีเยื่อบางๆปิดอยู่ เยื่อนี้อยู่ในระดับเดียวกับผิวหนัง ในสัตว์เลื้อยคลานมีอวัยวะรับฟังเสียงที่ทำงานได้ดีกว่าสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก
งูมีอวัยวะรับฟังเสียงแต่ยังไม่มีแก้วหูเสียงจะผ่านกะโหลกศีรษะมายังอวัยวะรับความรู้สึกโดยตรงโดยรับเสียงจากพื้นดินได้ทางเดียวสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆและนก มีเยื่อแก้วหูที่อยู่ลึกจมอยู่ใต้ผิวหนังสัตว์เหล่านี้จึงมีรูหู สัตว์เลื้อยคลานบางชนิดเช่นจระเข้จะมีแผ่นหนังปิดช่องรูหู แผ่นหนังนี้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเจริญไปเป็นใบหู
หูของคนแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ หูส่วนนอก หูส่วนกลาง และหูส่วนใน
1.หูส่วนนอก ( outer ear )ประกอบด้วย
1.1 ใบหู ( pinna ) ทำหน้าที่รวมคลื่นเสียงจากหูส่วนนอกเข้าสู่ช่องหู ประกอบด้วยกระดูกอ่อนที่ยืดหยุ่นได้ สามารถบิดตัวหรือกระดิกได้โดยไม่เสียรูปทรง เป็นโครงสร้างที่พบเฉพาะในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเท่านั้นสัตว์บางชนิดเช่นม้าจะเคลื่อนไหวใบหูเพื่อปรับตัวตามทิศทางของคลื่นเสียง
1.2 ช่องหู หรือรูหู ( external auditary canal )เป็นช่องยาว 25 ซม. อยู่ถัดจากใบหูเข้าไปจนจดเยื่อแก้วหู เป็นทางผ่านของคลื่นเสียงที่สะท้อนจากใบหูไปยังเยื่อแก้วหู ส่วนกลางของช่องหูจะมีขนและต่อมขี้หูผลิตสารคล้ายขี้ผึ้งทำหน้าที่ป้องกันแมลงเล็กๆและฝุ่นละอองไม่ให้เข้าสู่ภายใน และยังช่วยต้านทานคลื่นเสียงที่มากระทบเพื่อป้องกันเยื่อแก้วหู
1.3 เยื่อแก้วหู ( tympanic membrane หรือ ear drum)มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆรูปไข่กั้นระหว่างช่องหูกับหูส่วนกลาง โดยขึงอยู่บนขอบกระดูก คลื่นเสียงที่ผ่านเข้าไปในหูจะทำให้เยื่อแก้วหูสั่นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณความแรงของคลื่นเสียง ที่ผ่านเข้ามาเยื่อแก้วหูจะเพิ่มแรงสั่นสะเทือนได้มากถึง 17 เท่าเยื่อแก้วหูของคนปรกติจะไม่ทะลุและจะเป็นมันวาวเมื่อส่องไฟดู
2. หูส่วนกลาง (Middle ear)ประกอบด้วย
2.1 ท่อยูเตเชียน ( eustachian tube ) เป็นท่อเล็กๆเชื่อมต่อกับคอหอย ท่อนี้ทำหน้าที่ปรับความดัน
ระหว่างหูส่วนในกับบรรยากาศภายนอกให้เท่ากัน ในขณะที่ขึ้นบนดอยสูงซึ่งมีความดันภายนอกน้อย
กว่าภายใน เยื่อแก้วหูจะถูกดันให้โป่งออกมาทำให้เกิดอาการหูอื้อ หรือในคนที่เป็นหวัดอาจทำให้ท่อ
ยูสเตเชียนอักเสบและตีบตันได้ มีผลทำให้ความดันภายนอกกับภายในหูไม่เท่ากันทำให้เกิดอาการหู
อื้อได้เช่นเดียวกัน
2.2 กระดูก 3 ชิ้น คือกระดูกค้อน (malleus ) กระดูกทั่ง (incus ) และกระดูกรูปโกลน (stapes ) กระดูกทั้ง 3 ชิ้นนี้ทำหน้าที่ขยายความสั่นสะเทือนของเยื่อแก้วหูให้เพิ่มมากขึ้นโดยความสั่นสะเทือนของเยื่อแก้วหูจะทำให้กระดูกรูปค้อนมีการเคลื่อนไหวเป็นอันดับแรกส่งผลให้กระดูกทั่งและกระดูกโกลนเคลื่อนไหวตาม กระดูกทั้ง 3 ชิ้นทำหน้าที่ช่วยขยายความสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงให้เพิ่มมากกว่าเดิมประมาณ 1.3 เท่า และทำหน้าที่เป็นคานถ่ายทอดการสั่นสะเทือนเข้าไปยังหูตอนในทางช่องรูปไข่
3. หูส่วนใน ( Inner ear ) เป็นส่วนที่อยู่ต่อจากหูส่วนกลาง เป็นที่อยู่ของหน่วยรับความรู้สึกในการรับฟังเสียงและหน่วยรับความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว
3.1 คอเคลีย ( cochlea )เป็นหน่วยรับความรู้สึกในการรับฟังเสียง มีลักษณะเป็นหลอดยาว 35 ม.ม.
ขดเวียนแบบก้นหอยส่วนฐานใหญ่ส่วนยอดเล็ก ภายในมีของเหลวบรรจุเรียกว่า endolymph และมี
อวัยวะรับเสียงโดยตรงเรียกว่า Organ of corti ภายในมีแผ่นเยื่อ 2 แผ่นขึงติดตลอดความยาวแบ่ง
ส่วนของคอเคลียออกเป็น 3 ช่องคือ ช่องบน ช่องกลางและช่องล่างทั้งสามห้องมีของเหลวบรรจุอยู่เต็ม
ของเหลวในช่องบนและช่องล่างเรียกว่า เพอริลิมพ์ ( perilymph) ส่วนของเหลวที่อยู่ในช่องกลาง
เรียกว่าเอนโดลิมพ์ (endolymph)ภายในช่องกลางมีอวัยวะรับเสียงเรียกว่าออร์แกน ออฟคอร์ติ
(Organ of corti ) ประกอบด้วยเซลล์ซึ่งมีขนเส้นเล็กติดอยู่เรียกว่าเซลล์ขน ( hair cells )เมื่อคลื่นเสียง
ผ่านเข้ามาจากแก้วหูจนถึงกระดูกค้อน ทั่ง โกลน ผ่านช่องรูปไข่เข้าเพอริลิมพ์และส่งไปยังเอนโดลิมพ์
เซลล์ขนในออร์แกนออฟคอร์ติจึงสั่นสะเทือนและส่งคลื่นของแรงสั่นสะเทือนนี้ไปยังเส้นประสาทสมอง
คู่ที่ 8
3.2 อวัยวะรับความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว ( Organ of equilibrium ) ประกอบด้วยหลอดครึ่งวงกลม 3 วง ( semicircular canal ) 3 อันเชื่อมติดกันกับถุงยูตริเคิล ( utricle หรือ utriculus) หลอดทั้ง 3อันมีรูปทรงครึ่งวงกลมตั้งฉากซึ่งกันและกัน ปลายของแต่ละหลอดเปิดเข้าสู่ยูตริเคิล ภายในหลอดมีของเหลวชื่อเอนโดลิมพ์หล่อเลี้ยงปลายด้านที่ไม่เชื่อมกับยูตริเคิลของแต่ละหลอดมีส่วนที่พองออกเรียกว่ แอมพูลา ( ampula ) ในแอมพูลามีกลุ่มเซลล์ที่มีขนเส้นเล็กๆเซลล์กลุ่มนี้ทำหน้าที่รับความรู้สึก เรียกว่า คริสตา
( crista ) ในแอมพูลายังมีก้อนหินปูนเล็กๆเรียกว่าสแตโตลิธ ( statolith ) เมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือเอียงตัวเอนโดลิมพ์จะไหลไปกระทบกับขนและสแตโตลิธกลิ้ง ไปกระทบขน ส่งความสะเทือนไปยังเซลล์ เซลล์จะส่งกระแสประสาทออกไปกับเส้นประสาทรับฟัง ส่งไปยังสมองทำให้ทราบถึงตำแหน่งที่อยู่ได้ว่า เอียงไปทางไหน จากนั้นยังสมองส่วนซีรีเบลลัม จะส่งกระแสประสาทออกไปกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อที่เกี่ยว กับการทรงตัวและรับรู้เกี่ยวกับตำแหน่งและความสมดุลของร่างกาย
ในสัตว์มีกระดูกสันหลัง หูทำหน้าที่ในการรับฟัง ( phononreceptor) และทำหน้าที่เกี่ยวกับ
การทรงตัว ( statoreceptor ) ส่วนในสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลังอวัยวะในการรับฟังและทรงตัวอยู่คนละแห่ง
ในสัตว์พวกกบ คางคก จะมีช่องหูส่วนกลาง ด้านนอกของช่องหูส่วนนี้มีเยื่อบางๆปิดอยู่ เยื่อนี้อยู่ในระดับเดียวกับผิวหนัง ในสัตว์เลื้อยคลานมีอวัยวะรับฟังเสียงที่ทำงานได้ดีกว่าสัตว์ครึ่งน้ำครึ่งบก
งูมีอวัยวะรับฟังเสียงแต่ยังไม่มีแก้วหูเสียงจะผ่านกะโหลกศีรษะมายังอวัยวะรับความรู้สึกโดยตรงโดยรับเสียงจากพื้นดินได้ทางเดียวสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆและนก มีเยื่อแก้วหูที่อยู่ลึกจมอยู่ใต้ผิวหนังสัตว์เหล่านี้จึงมีรูหู สัตว์เลื้อยคลานบางชนิดเช่นจระเข้จะมีแผ่นหนังปิดช่องรูหู แผ่นหนังนี้ในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเจริญไปเป็นใบหู
หูของคนแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ หูส่วนนอก หูส่วนกลาง และหูส่วนใน
1.หูส่วนนอก ( outer ear )ประกอบด้วย
1.1 ใบหู ( pinna ) ทำหน้าที่รวมคลื่นเสียงจากหูส่วนนอกเข้าสู่ช่องหู ประกอบด้วยกระดูกอ่อนที่ยืดหยุ่นได้ สามารถบิดตัวหรือกระดิกได้โดยไม่เสียรูปทรง เป็นโครงสร้างที่พบเฉพาะในสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมเท่านั้นสัตว์บางชนิดเช่นม้าจะเคลื่อนไหวใบหูเพื่อปรับตัวตามทิศทางของคลื่นเสียง
1.2 ช่องหู หรือรูหู ( external auditary canal )เป็นช่องยาว 25 ซม. อยู่ถัดจากใบหูเข้าไปจนจดเยื่อแก้วหู เป็นทางผ่านของคลื่นเสียงที่สะท้อนจากใบหูไปยังเยื่อแก้วหู ส่วนกลางของช่องหูจะมีขนและต่อมขี้หูผลิตสารคล้ายขี้ผึ้งทำหน้าที่ป้องกันแมลงเล็กๆและฝุ่นละอองไม่ให้เข้าสู่ภายใน และยังช่วยต้านทานคลื่นเสียงที่มากระทบเพื่อป้องกันเยื่อแก้วหู
1.3 เยื่อแก้วหู ( tympanic membrane หรือ ear drum)มีลักษณะเป็นเยื่อบางๆรูปไข่กั้นระหว่างช่องหูกับหูส่วนกลาง โดยขึงอยู่บนขอบกระดูก คลื่นเสียงที่ผ่านเข้าไปในหูจะทำให้เยื่อแก้วหูสั่นมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับปริมาณความแรงของคลื่นเสียง ที่ผ่านเข้ามาเยื่อแก้วหูจะเพิ่มแรงสั่นสะเทือนได้มากถึง 17 เท่าเยื่อแก้วหูของคนปรกติจะไม่ทะลุและจะเป็นมันวาวเมื่อส่องไฟดู
2. หูส่วนกลาง (Middle ear)ประกอบด้วย
2.1 ท่อยูเตเชียน ( eustachian tube ) เป็นท่อเล็กๆเชื่อมต่อกับคอหอย ท่อนี้ทำหน้าที่ปรับความดัน
ระหว่างหูส่วนในกับบรรยากาศภายนอกให้เท่ากัน ในขณะที่ขึ้นบนดอยสูงซึ่งมีความดันภายนอกน้อย
กว่าภายใน เยื่อแก้วหูจะถูกดันให้โป่งออกมาทำให้เกิดอาการหูอื้อ หรือในคนที่เป็นหวัดอาจทำให้ท่อ
ยูสเตเชียนอักเสบและตีบตันได้ มีผลทำให้ความดันภายนอกกับภายในหูไม่เท่ากันทำให้เกิดอาการหู
อื้อได้เช่นเดียวกัน
2.2 กระดูก 3 ชิ้น คือกระดูกค้อน (malleus ) กระดูกทั่ง (incus ) และกระดูกรูปโกลน (stapes ) กระดูกทั้ง 3 ชิ้นนี้ทำหน้าที่ขยายความสั่นสะเทือนของเยื่อแก้วหูให้เพิ่มมากขึ้นโดยความสั่นสะเทือนของเยื่อแก้วหูจะทำให้กระดูกรูปค้อนมีการเคลื่อนไหวเป็นอันดับแรกส่งผลให้กระดูกทั่งและกระดูกโกลนเคลื่อนไหวตาม กระดูกทั้ง 3 ชิ้นทำหน้าที่ช่วยขยายความสั่นสะเทือนของคลื่นเสียงให้เพิ่มมากกว่าเดิมประมาณ 1.3 เท่า และทำหน้าที่เป็นคานถ่ายทอดการสั่นสะเทือนเข้าไปยังหูตอนในทางช่องรูปไข่
3. หูส่วนใน ( Inner ear ) เป็นส่วนที่อยู่ต่อจากหูส่วนกลาง เป็นที่อยู่ของหน่วยรับความรู้สึกในการรับฟังเสียงและหน่วยรับความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว
3.1 คอเคลีย ( cochlea )เป็นหน่วยรับความรู้สึกในการรับฟังเสียง มีลักษณะเป็นหลอดยาว 35 ม.ม.
ขดเวียนแบบก้นหอยส่วนฐานใหญ่ส่วนยอดเล็ก ภายในมีของเหลวบรรจุเรียกว่า endolymph และมี
อวัยวะรับเสียงโดยตรงเรียกว่า Organ of corti ภายในมีแผ่นเยื่อ 2 แผ่นขึงติดตลอดความยาวแบ่ง
ส่วนของคอเคลียออกเป็น 3 ช่องคือ ช่องบน ช่องกลางและช่องล่างทั้งสามห้องมีของเหลวบรรจุอยู่เต็ม
ของเหลวในช่องบนและช่องล่างเรียกว่า เพอริลิมพ์ ( perilymph) ส่วนของเหลวที่อยู่ในช่องกลาง
เรียกว่าเอนโดลิมพ์ (endolymph)ภายในช่องกลางมีอวัยวะรับเสียงเรียกว่าออร์แกน ออฟคอร์ติ
(Organ of corti ) ประกอบด้วยเซลล์ซึ่งมีขนเส้นเล็กติดอยู่เรียกว่าเซลล์ขน ( hair cells )เมื่อคลื่นเสียง
ผ่านเข้ามาจากแก้วหูจนถึงกระดูกค้อน ทั่ง โกลน ผ่านช่องรูปไข่เข้าเพอริลิมพ์และส่งไปยังเอนโดลิมพ์
เซลล์ขนในออร์แกนออฟคอร์ติจึงสั่นสะเทือนและส่งคลื่นของแรงสั่นสะเทือนนี้ไปยังเส้นประสาทสมอง
คู่ที่ 8
3.2 อวัยวะรับความรู้สึกเกี่ยวกับการทรงตัว ( Organ of equilibrium ) ประกอบด้วยหลอดครึ่งวงกลม 3 วง ( semicircular canal ) 3 อันเชื่อมติดกันกับถุงยูตริเคิล ( utricle หรือ utriculus) หลอดทั้ง 3อันมีรูปทรงครึ่งวงกลมตั้งฉากซึ่งกันและกัน ปลายของแต่ละหลอดเปิดเข้าสู่ยูตริเคิล ภายในหลอดมีของเหลวชื่อเอนโดลิมพ์หล่อเลี้ยงปลายด้านที่ไม่เชื่อมกับยูตริเคิลของแต่ละหลอดมีส่วนที่พองออกเรียกว่ แอมพูลา ( ampula ) ในแอมพูลามีกลุ่มเซลล์ที่มีขนเส้นเล็กๆเซลล์กลุ่มนี้ทำหน้าที่รับความรู้สึก เรียกว่า คริสตา
( crista ) ในแอมพูลายังมีก้อนหินปูนเล็กๆเรียกว่าสแตโตลิธ ( statolith ) เมื่อมีการเคลื่อนไหวหรือเอียงตัวเอนโดลิมพ์จะไหลไปกระทบกับขนและสแตโตลิธกลิ้ง ไปกระทบขน ส่งความสะเทือนไปยังเซลล์ เซลล์จะส่งกระแสประสาทออกไปกับเส้นประสาทรับฟัง ส่งไปยังสมองทำให้ทราบถึงตำแหน่งที่อยู่ได้ว่า เอียงไปทางไหน จากนั้นยังสมองส่วนซีรีเบลลัม จะส่งกระแสประสาทออกไปกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อที่เกี่ยว กับการทรงตัวและรับรู้เกี่ยวกับตำแหน่งและความสมดุลของร่างกาย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)